โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อแคชเชียร์เช็คพิพาทสองฉบับจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ ๒ สลักหลังเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็ค จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่า "ผู้ซื้อมีใบแจ้งความมาขออายัด" โจทก์ชี้แจงให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าจำเลยที่ ๒ แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและโจทก์ขออายัดมิให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท หรือออกแคชเชียร์เช็คฉบับใหม่ให้จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ กลับคืนเงินให้แก่จำเลยที่ ๒ ไป ๓๕,๐๐๐ บาทโดยมิชอบ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มีคำบอกกล่าวว่าเช็คพิพาทหาย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องใช้เงินตามเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๙๑ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๓๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๒ นำเงินสด ๓๕,๐๐๐ บาท มาขอเปลี่ยนเป็นแคชเชียร์เช็คสองฉบับตามฟ้องจากจำเลยที่ ๑ ต่อมาวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๒ บอกกล่าวแก่จำเลยที่ ๑ ว่าเช็คทั้งสองฉบับตกหาย ได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อและขอรับเงินคืน ในตอนเย็นวันเดียวกันนั้นธนาคารเมอแคนไทล์ จำกัด ได้ขอเรียกเก็บเงินตามเช็คทั้งสองฉบับจากจำเลยที่ ๑ ตามที่ขอให้เรียกเก็บ จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าจำเลยที่ ๒ สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับโอนให้โจทก์เป็นการชำระหนี้เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๒ เช็คมิได้ตกหายแต่อย่างใด ขอให้จำเลยที่ ๑ ระงับการคืนเงินหรือออกเช็คฉบับใหม่ให้จำเลยที่ ๒ ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงพระนครใต้ระหว่างดำเนินคดีจำเลยที่ ๑ ได้จ่ายเงิน ๓๕,๐๐๐ บาทให้จำเลยที่ ๒ ไป และข้อเท็จจริงฟังได้ต่อไปว่า จำเลยที่ ๒ สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับให้แก่โจทก์และโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าเมื่อมีคำบอกกล่าวแก่จำเลยที่ ๑ ว่าเช็คหายหรือถูกลักไป จึงเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๙๑(๓) จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดชอบใช้เงินตามเช็คพิพาทสองฉบับดังกล่าว โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาความแก่จำเลยที่ ๒ซึ่งเป็นผู้สลักหลังโอนเช็คให้แก่ตนนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๙๑ บัญญัติว่า "ธนาคารจำต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงินแก่ตน เว้นแต่ในกรณีดังกล่าวต่อไปนี้คือ (๑) ฯลฯ (๓) ได้มีคำบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป" เห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวนี้เป็นข้อยกเว้นที่ให้อำนาจธนาคารไม่จำต้องจ่ายเงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้าสั่งจ่ายมาเบิกเงินแก่ตน จึงเป็นคนละกรณีกับการที่ธนาคารซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คดังที่พิพาทกันในคดี เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นแคชเชียร์เช็คที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่าย หาใช่ผู้เคยค้าสั่งจ่ายเช็คพิพาทมาเบิกเงินจากธนาคารจำเลยที่ ๑ ไม่จำเลยที่ ๑ จึงอ้างมาตรา ๙๙๑(๓) มายกเว้นความรับผิดของตนต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คหาได้ไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๐ วรรคแรกบัญญัติว่า "บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น" ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับจึงต้องผูกพันตนเป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่จะต้องจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวให้แก่ผู้ทรงเช็ค เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบจึงฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามเช็คพิพาทได้โดยตรงจำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าได้คืนเงินให้แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ขอออกเช็คไปแล้วเพื่อปัดความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คไม่ได้
พิพากษายืน