โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินตามเช็ค 1,595,165.25 บาท กับให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,537,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,595,165.25 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,537,200 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 มีนาคม 2548) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของลูกจ้างตามสัญญาจ้าง และตามกฎหมายนั้นนอกจากจะมีหน้าที่ทำงานให้แก่นายจ้างแล้ว ลูกจ้างจะต้องทำงานให้ดีเช่นเดียวกับลูกจ้างทั่วไปเรียกว่าความรับผิดชอบในหน้าที่ ถ้าฝ่าฝืนก็จะเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 บัญญัติว่า "...ไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต..." ดังนั้น ลูกจ้างจึงมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรมอันดีในขณะปฏิบัติหน้าที่ จากคำเบิกความของโจทก์ได้ความว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายชำระเงินค่าตอบแทนส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ ในการที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายสินค้าและจัดส่ง และได้รับมอบหมายจากบริษัทเจวีซี เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ให้จัดซื้อรถยก 3 คัน และชั้นวางสินค้าจำนวน 2,560 ชิ้น ไว้ใช้ในคลังสินค้าของบริษัท โจทก์จึงได้เจรจาซื้อสินค้าดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 และเรียกค่าตอบแทนในการจัดซื้อสินค้าดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ไปเพื่อการส่วนตัว แทนที่จะเจรจาหักเป็นค่าส่วนลดให้แก่บริษัทเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่บริษัทที่เป็นนายจ้าง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่ลูกจ้างที่ดีพึงปฏิบัติ พฤติการณ์และการกระทำของโจทก์จึงเป็นการประพฤติทุจริตเบียดบังสิทธิและผลประโยชน์อันมิควรได้ โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่การงานและได้รับความวางไว้ใจจากนายจ้างให้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้ขอเป็นส่วนลดราคาสินค้าให้แก่บริษัทแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมโดยอ้างว่าทำให้เสียราคาค่าสินค้านั้นไม่สมเหตุผล เพราะแม้นหากจำเลยที่ 1 ไม่ยอม และโจทก์มีเจตนาสุจริตแล้ว โจทก์ก็สามารถบอกให้จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คคืนเงินค่าตอบแทนให้แก่บริษัทได้ ซึ่งจะไม่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียราคาค่าสินค้าและไม่ทำให้บริษัทต้องเสียผลประโยชน์อีกด้วย แต่โจทก์หาดำเนินการเช่นนั้นไม่ กลับแสวงหาผลประโยชน์ดังกล่าวเพื่อลำพังตนเองทั้งสิ้น ข้อตกลงเรียกเงินค่าตอบแทนในการเจรจาซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังที่กล่าวมาแล้ว จึงขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ดังนั้นเช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ที่จะบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยทั้งสองและประเด็นฎีกาที่เหลืออีกต่อไป เพราะไม่มีผลทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ