ผู้ร้องยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครอง
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านทั้งสามโดยกำหนด ค่าทนายความ 50,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เดิมบิดามารดานายชัยยุทธ ประกอบกิจการโรงงานน้ำมันพืช โดยปลูกสร้างโรงงานบางส่วนคร่อมอยู่บนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 988 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านทั้งสาม ต่อมานายธวัชชัย พี่ชายนายชัยยุทธดำเนินกิจการโรงงานน้ำมันพืชต่อจากบิดา และผู้ร้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2527 โดยมีนายชัยยุทธเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาปี 2539 นายชัยยุทธยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา ซึ่งคดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องขอ ต่อมาผู้คัดค้านทั้งสามฟ้องขับไล่นายชัยยุทธและบริวารกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้ขับไล่นายชัยยุทธและบริวารกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า นายชัยยุทธซื้อที่ดินจากนายธวัชชัยโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้าง แต่ผู้ร้องกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 4,000,000 บาท มาปลูกสร้างโรงงานขึ้นใหม่นั้น นายวีรวัฒน์ หุ้นส่วนผู้จัดการผู้ร้อง พยานผู้ร้องเบิกความตอบคำถามค้านทนายผู้คัดค้านทั้งสามว่า นายชัยยุทธบิดาพยานซื้อที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนายธวัชชัย สำหรับเงินกู้จำนวน 4,000,000 บาท ที่กู้มาเมื่อปี 2527 นั้น ได้นำมาใช้ในการซ่อมแซมโรงงาน ซื้อเครื่องจักรและวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันพืช และได้ความจากคำเบิกความของนายธวัชชัยตอบคำถามค้านทนายผู้คัดค้านทั้งสามว่า อาคารโรงงานน้ำมันพืชปลูกคร่อมอยู่บนที่ดินพิพาทและที่ดินโฉนดเลขที่ 4140 โดยบิดาซื้อที่ดินดังกล่าวมา แต่เนื่องจากบิดาเป็นคนต่างด้าวจึงให้พยานถือกรรมสิทธิ์แทน โดยบิดาเริ่มประกอบกิจการโรงงานน้ำมันพืชตั้งแต่ประมาณปี 2492 ต่อมาบิดาถึงแก่ความตาย พยานจึงดูแลกิจการต่อเรื่อยมา ต่อมากิจการประสบปัญหาขาดทุน จึงขายกิจการโรงงานน้ำมันพืชให้แก่นายชัยยุทธ โดยไม่ได้ขายที่ดินและกิจการโรงงานให้แก่ผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า นายชัยยุทธซื้อที่ดินพร้อมโรงงานน้ำมันพืชจากนายธวัชชัย โดยมีการปรับปรุงซ่อมแซมเท่านั้น ข้ออ้างตามฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ซึ่งในคดีก่อนที่นายชัยยุทธยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองก็สืบเนื่องมาจากโรงงานน้ำมันพืชดังกล่าวปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทและขณะนั้นนายชัยยุทธยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการผู้ร้องด้วย แต่ศาลฎีกาพิพากษายกคำร้องขออันแสดงว่า การที่ปลูกสร้างโรงงานน้ำมันพืชดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทนั้นไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ส่วนคดีนี้แม้ผู้ร้องจะเป็นบุคคลคนละคนกับนายชัยยุทธซึ่งเป็นผู้ร้องขอในคดีก่อน แต่โรงงานน้ำมันพืชดังกล่าวที่ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องอ้างใช้สิทธิครอบครองปรปักษ์นั้น ก็เป็นโรงงานเดียวกันกับคดีก่อนที่นายชัยยุทธยื่นคำร้องขอ และเป็นเหตุผลเดิม จึงถือได้ว่านายชัยยุทธและผู้ร้องเป็นคู่ความเดียวกัน เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของผู้คัดค้านทั้งสามอีก จึงเป็นการยื่นคำร้องขอในประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 อันต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ