คดีได้ความว่า โจทก์กู้เงินนายอ่อนแล้ว มอบนาพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นที่มือเปล่าให้นายอ่อนทำต่างดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ชำระเงินให้แก่นายอ่อน จะเข้าครอบครอง จำเลยไม่ยอมโดยอ้างว่าระหว่างที่โจท์มอบนาให้นายอ่อนทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยได้ซื้อนาพิพาทจากนายอ่อน และครอบครองจนบัดนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลแสดงว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์และขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าจำเลยได้ซื้อหรือแลกเปลี่ยนนาพิพาทจากนายอ่อน ได้ครอบครองต่อเนื่องเกิน ๑๐ ปีแล้ว และคดีของโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพะยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า นายอ่อนไม่มีอำนาจขายนาพิพาทให้แก่จำเลย นายังเป็นของโจทก์คดียังไม่ขาดอายุความ เพราะโจทก์ได้ฟ้องนายอ่อนเป็นคดีอาญา เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๙ พิพากษาว่า นาเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีขาดอายุความแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า นาพิพาทยังอยู่ในครอบครองของจำเลย โจทก์ฟ้องเรียกคืน จึงได้ชื่อว่า จำเลยเป็นผู้ถูกแย่งการครอบครอง คดีไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่นาพิพาทเดิมเป็นของโจทก์ เมื่อโจทก์ชำระหนี้แก่นายอ่อนแล้วในเดือนมิถุนายน ๒๔๘๘ โจทก์จะเข้าครอบครอง จำเลยขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครอง โดยอ้างว่าซื้อจากนายอ่อน พฤตติการณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่า โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์มายื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๘๙ เป็นเวลาเกิน ๑ ปี นับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๗๕ วรรค ๒ คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว
พิพากษายืน