คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่ข้อยุ่งยากและและให้พิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้มาศาลตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๓๒๖,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๒๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ ว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ จำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเนื่องจากในวันดังกล่าว การจราจรในบริเวณศาลแพ่งติดขัดมากทำให้ทนายจำเลยทั้งสองมาถึงห้องพิจารณาคดีเวลา ๑๓.๔๐ นาฬิกา ขณะที่ศาลและคู่ความยังอยู่ในห้องพิจารณาขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วอนุญาตให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า คำร้องเป็นเท็จ ไม่ชอบที่ศาลจะยกขึ้นพิจารณาใหม่
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การสิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยทั้งสองโดยขาดนัด ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีจำเลยทั้งสองเสียจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ วรรคสอง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีชอบหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากและให้พิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่โดยนัดพิจารณาในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เวลา ๙ นาฬิกา เพื่อทำการไกล่เกลี่ย ให้จำเลยทั้งสองให้การและสืบพยานในวันเดียวกัน ถึงวันนัด ทนายโจทก์และผู้รับมอบฉันทะจากทนายจำเลยทั้งสองมาศาล ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ (ที่ถูก นัดพิจารณา) วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา ในวันนัดจำเลยทั้งสองไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวและนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๔ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๖ วรรคสอง บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ เว้นแต่มาตรา ๑๙๐ จัตวา มาใช้บังคับ โดยมาตรา ๑๙๓ และมาตรา ๑๙๖ วรรคสอง (๓) บัญญัติให้การดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ศาลต้องออกหมายเรียกให้จำเลยมาศาลเพื่อการไกล่เกลี่ยให้การและสืบพยานในวันเดียวกัน และถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกของศาลแล้วไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วจึงพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว และพิพากษาโดยเร็วเท่าที่พึงกระทำได้ โดยศาลอาจพิพากษาในวันนัดพิจารณานั่นเองหรืออาจเลื่อนคดีไปพิพากษาในวันอื่นก็ได้ แต่ต้องกระทำโดยเร็วเท่าที่พึงกระทำได้ ดังนั้น กรณีการพิจารณาคดีไม่มีข้อยุ่งยากจึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ มาใช้บังคับ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีเพราะเหตุที่โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้น เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามมาตรา ๑๙๘ วรรคสอง จึงไม่ชอบ
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๖ วรรคสอง (๓) ได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า ถ้าจำเลยได้รับหมายเรียกของศาลแล้วไม่มาศาลตามกำหนดนัด ให้ศาลมีคำสั่งโดยไม่ชักช้าว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้ศาลพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว ฯลฯ อันเป็นวิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้นที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะสำหรับคดีไม่มีข้อยุ่งยากแล้วว่าให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาในกรณีที่จำเลยไม่มาศาล กระบวนพิจารณาต่อจากนั้นมาจึงจะใช้ดุลยพินิจให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม (๑) โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๔ และมาตรา ๒๐๖ วรรคสอง มาใช้บังคับแก่คดีโดยอนุโลมได้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองไม่มาศาล และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง และให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสาม (๑) ไปเลย โดยไม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒) ประกอบมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ แล้วมีคำพิพากษาตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ.