โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท อ้างว่านางฉลาดลิขิตภริยาโจทก์นั่งรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับไปชนต้นก้ามปู เป็นเหตุให้นางฉลาดลิขิตถึงแก่ความตาย
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธความรับผิด จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างและค่าเสียหายที่เรียกร้องเกินกว่าเหตุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง ๒ ใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ต้องสูญเสียภริยาเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าทำบุญและปลงศพ ๑๐,๐๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ขาดรายได้จากผู้ตายเคยหามาอุปการะครอบครัวให้คิดเฉพาะตัวโจทก์ ไม่รวมส่วนของบุตร พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ให้โจทก์เพียง ๑๐,๐๐๐บาท และค่าทำบุญและปลงศพ ๑๐,๐๐๐ บาท มีผู้พิพากษานายหนึ่งแย้งว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางจิตใจด้วย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นข้าราชการบำนาญ ได้บำนาญเดือนละ ๕๐๐ บาทเศษ ผู้ตายมีอาชีพเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินและเพชรพลอย มีรายได้เดือนละ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท ผู้ตายขณะตายอายุ ๔๔ ปี โจทก์อายุ ๖๖ ปีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในสมัยปัจจุบันช่วงชีวิตของบุคคลทั่ว ๆ ไป ในสังคมที่มีการแพทย์และการสาธารณะสุขดี ยาวขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อผู้ตายยังแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จะอยู่ทำมาหาได้เพียง ๔ - ๕ ปี ข้างหน้ายังน้อยไป ควรคำนวณได้ว่าจะมีชีวิตทำมาหาได้ต่อไปข้างหน้าอีก ๑๐ ปี จึงควรเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่รวมส่วนของบุตรด้วย
ส่วนค่าเสียหายทางจิตใจที่โจทก์เกิดความว้าเหว่ เพราะสูญเสียภริยาผู้เคยปฏิบัติให้ชีวิตของโจทก์มีความสุข โจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้นั้น ได้มีฎีกาที่ ๑๗๔๒/๒๔๙๙ วินิจฉัยว่า ค่าสินไหมทดแทนนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เรียกร้องความทุกข์โทรมนัสได้ที่ประชุมใหญ่พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะขาดรายได้ซึ่งผู้ตายเคยหาได้จำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท และค่าทำบุญและปลงศพ ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย