โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 24 หมู่ที่ 2 ตำบลกำพวน อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เนื้อที่ 21 ไร่ เมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน2531 โจทก์พบว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินดังกล่าวของโจทก์เนื้อที่ 2 ไร่ โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่าจำเลยยินยอมที่จะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2532 พนักงานสอบสวนบันทึกข้อตกลงไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เมื่อครบกำหนดตามข้อตกลงจำเลยไม่ยอมรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ไม่อาจนำที่ดินของโจทก์ไปให้ผู้อื่นเช่าได้ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 2,500 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ต่อไปกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,500บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยมาศาลและสาบานตนให้การเป็นพยานเอง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า จากคำเบิกความของโจทก์และนายต้าหา สูสวัสดิ์พยานของโจทก์ที่ว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2531 โจทก์กับนายต้าหาไปตรวจดูที่ดิน ปรากฏว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทนั้น แสดงว่าจำเลยได้เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทก่อนหรืออย่างช้าก็ภายในเดือนมิถุนายน 2531 ส่วนที่โจทก์เบิกความว่าเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2532 จำเลยยอมรับต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยยินยอมจะรื้อบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่ามีพิรุธไม่น่าเชื่อ เพราะแตกต่างขัดแย้งกับรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.5 ที่พนักงานสอบสวนบันทึกให้โจทก์กับจำเลยลงชื่อไว้ ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือยอมรับว่าจะรื้อบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท และด้วยเหตุดังวินิจฉัยแล้ว จึงเห็นว่า การที่พนักงานสอบสวนทำบันทึกให้โจทก์กับจำเลยลงชื่อไว้ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมายจ.5 ไม่มีผลทำให้การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยสะดุดหยุดลงและที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2532 ซึ่งเป็นการฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับจากก่อนหรือภายในเดือนมิถุนายน 2531ที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท ถือได้ว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง..."
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.