จ.มีความประสงค์จะอย่าขาดจากโจทก์ผู้เปนสามี จึงไปขอร้องต่ออำเภอ พ.ซึ่งเป็นปลัดอำเภอได้ออกหมายเรียกโจทก์มา แต่โจทก์ไม่ยอมอย่า พ.จึงทำหนังสืออย่าขึ้นแล้วหลอกลวงว่าเป็นเรื่องราวที่จะนำเสนอต่อจังหวัดให้โจทก์ลงลายมือซื้อไว้ต่อมาโจทก์ได้ฟ้อง จ.ว่ามีชู้ จ.ก็นำหนังสือนั้นไปแสดงต่อศาลว่าเป็นหนังสืออย่า โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษ พ.แล จ.ดังนี้
ศาลเดิมตัดสินว่า พ.มีผิดตาม ม.๒๒๓ ให้จำคุก ๒ ปี จ.มีผิดตาม ม.๒๒๓ จำคุก ๑ ปี กะทง ๑ แล ม.๑๕๗-๑๕๕ จำคุก ๑ ปีอีกกะทงหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ยกข้อหาฐานปลอมหนังสือตาม ม.๒๒๓ ฉะเพาะตัว จ.เสีย แลแก้กำหนดโทษตาม ม.๑๕๗-๑๕๕ ลงคงเหลือ ๓ เดือนแลให้รอการลงอาญา จ.ไว้ ส่วน พ.ยืนตามศาลเดิมฯ
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษ จ.ตามศาลเดิม
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องปลอมหนังสือโจทก์ฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงแลข้อกฎหมาย ส่วนเรื่องอ้างหลักฐานพะยานเท็จ โจทก์ก็ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ เพราะศาลเดิมสั่งอนุญาตให้โจทก์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาตาม พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ ม.๗ ด้วย แลในความผิดฐานอ้างหลักฐานเท็จนี้ กรรมการเห็นว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษ จ.ยังเบาไป จึงให้แก้เป็นจำคุก จ. ๑ ปี ตามมาตรา ๑๕๗-๑๕๕ ส่วนเรื่องปลอมหนังสือโจทก์นำสืบไม่ได้ความว่า จ.ได้สมคบกันกับ พ.หรือรู้เห็นข้อความในหนังสือนั้นขณะที่ พ.เขียนขึ้น จึงยังไม่พอลงโทษ จ.ในฐานนี้ได้ คงยืนตามศาลอุทธรณ์