โจทก์ฟ้องว่าโจทก์รับมรดกจากสามี มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและโรงสีร่วมกับจำเลย 1 ใน 3 จำเลยจะเอาส่วนของโจทก์เป็นของจำเลยโดยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำการสีข้าวตามที่ตกลงกันไว้ว่า เมื่อจำเลยสีข้าวในโรงสีครบ 2 ปีแล้วจะให้โจทก์เข้าทำการสีปีหนึ่งผลัดเปลี่ยนเวียนกันไป จึงขอให้แบ่งที่ดินและโรงสี ห้องแถวซึ่งปลูกในที่ดินรวมราคา 120,000 บาท ออกเป็น 3 ส่วน ให้โจทก์หนึ่งส่วนเป็นเงิน 40,000 บาทโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การว่า ข้อตกลงเรื่องเวียนกันทำโรงสีระงับไปแล้วและจำเลยลงทุนซ่อมแซมโรงสีผู้เดียว หากต้องแบ่งหุ้นก็ควรหักค่าซ่อมแซมก่อน และว่ามูลค่าของหุ้นเป็นจำนวนเงินแน่นอนแล้วการขายทอดตลาดหุ้นจึงไม่จำเป็น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะในข้อค่าเสียหาย ส่วนข้ออื่นยืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินค่าหุ้นแก่โจทก์ 40,000 บาท ถ้าจำเลยไม่ต้องการแบ่งส่วน ให้นำโรงสีนั้นประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินกันตามส่วน
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังตามศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ขาดประโยชน์เพราะจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำการสีข้าวตามวาระของโจทก์ แต่การบังคับคดีตามคำขอท้ายฟ้องที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าทรัพย์สินให้แก่โจทก์ 40,000 บาท โดยมิได้ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดทรัพย์สินก่อน ซึ่งโจทก์คัดค้านว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้จำเลยใช้เงินค่าหุ้น 40,000 บาท เท่านั้น การที่กล่าวในฟ้องว่าทรัพย์สินทั้งหมดมีราคา 120,000 บาท เป็นส่วนของโจทก์ 40,000 บาท ก็เป็นเพียงตั้งราคาเพื่อเสียค่าขึ้นศาล จึงมีคำขอท้ายฟ้องว่า "ขอได้โปรดแบ่งที่ดินพร้อมด้วยโรงสีและห้องแถว... ให้เป็นของโจทก์ 1 ส่วน เป็นเงิน 40,000 บาท โดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาด นอกจากนี้ยังปรากฏตามรายงานพิจารณาว่า จำเลยขอเสนอให้เงินโจทก์เป็นค่าหุ้น 60,000 บาท แต่โจทก์ ว่าถ้าไม่ได้ 100,000 บาทไม่ตกลงด้วย ดังนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าโจทก์หาได้ต้องการเงินค่าทรัพย์สินส่วนของโจทก์เพียง 40,000 บาทเท่านั้นไม่
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อค่าเสียหายให้เป็นไปตามคำชี้ขาดของศาลชั้นต้น ส่วนการแบ่งทรัพย์สินที่พิพาท ถ้าไม่ตกลงกันให้ประมูลหรือขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ 1 ส่วน จำเลย 2 ส่วน ถ้าส่วนได้ของโจทก์เกิน 40,000 บาทเท่าใดให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลจากโจทก์เพิ่มตามทุนทรัพย์