โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1873 เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 39 ตารางวา กับโจทก์ในราคา 1,004,250 บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ชำระเงินมัดจำ 334,750 บาท และชำระราคาที่ดินหลังจากทำสัญญาอีก 504,750 บาท จำเลยทั้งสองไม่ยอมรังวัดแบ่งแยกที่ดินเพื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ตามสัญญา แต่กลับขายที่ดินให้บุคคลภายนอก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1873 ตำบลดอนกำยาน (สามนาก) อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 39 ตารางวา แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการเจตนา หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ 1,004,250 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องโฉนดเลขที่ 1873 และรับเงินมัดจำ 334,750 บาท จากโจทก์ตามฟ้องจริง ตามสัญญาไม่มีข้อตกลงให้จำเลยทั้งสองทำการรังวัดแบ่งแยกก่อน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาชำระราคาส่วนที่เหลือไม่ครบโดยชำระเพียง 170,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ชำระอีกจำเลยทั้งสองทวงถามแล้วโจทก์ไม่ชำระ จำเลยทั้งสองจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์และโจทก์ได้รับแล้ว เมื่อถึงวันนัดโจทก์ไม่ไปสำนักงานที่ดินเพื่อรับโอนที่ดินและชำระราคาส่วนที่เหลือแก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ได้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเฉพาะเท่าที่โจทก์ชนะคดี กำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยทั้งสองในราคา 1,004,250 บาท โดยโจทก์ชำระเงินมัดจำในวันทำสัญญา 334,750 บาท ส่วนราคาที่ดินที่เหลือโจทก์ชำระแก่จำเลยทั้งสองเพียง 170,000 บาท อันเป็นการผิดสัญญา จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและริบเงินทั้งหมดที่โจทก์ได้ชำระแก่จำเลยทั้งสอง พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิริบเงินจำนวน 170,000 บาท ที่ได้รับไว้จากโจทก์หรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาโดยระบุว่าหากโจทก์ไม่ดำเนินการจะริบเงินทั้งหมด จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิริบเงินค่าที่ดินจำนวน 170,000 บาท ด้วยนั้น เห็นว่า ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีข้อตกลงให้จำเลยริบเงินค่าที่ดินที่โจทก์ได้ชำระมาแล้ว ดังนั้นแม้จำเลยทั้งสองจะมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาโดยระบุว่าหากโจทก์ไม่ดำเนินการจะริบเงินทั้งหมดแล้วโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยทั้งสองที่จะริบเงินดังกล่าวได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิริบเงินค่าที่ดินจำนวน 170,000 บาท และเมื่อจำเลยทั้งสองใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยทั้งสองก็ต้องให้โจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมกล่าวคือจำเลยทั้งสองต้องคืนเงินค่าที่ดินจำนวน 170,000 บาท ที่ได้รับไว้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่เวลาที่ได้รับไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น จำเลยทั้งสองฎีกาประการต่อมาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 170,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2536 เป็นต้นไปเป็นการคิดดอกเบี้ยค้างส่งเกินกว่า 5 ปี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ปัญหาดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยังมิได้วินิจฉัยจึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) แต่เมื่อคดีได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและข้อเท็จจริงตามสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยก่อนปัญหาว่าดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นดอกเบี้ยค้างส่งหรือไม่นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามบทบัญญัติของมาตรา 391 วรรคสอง ดอกเบี้ยดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทดแทนความเสียหายอย่างหนึ่งเพื่อให้โจทก์ได้กลับคืนฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมจึงมิใช่ดอกเบี้ยค้างส่งหรือดอกเบี้ยค้างชำระซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 ดังที่จำเลยทั้งสองเข้าใจ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.