ได้ความว่าโจทก์จำเลยมีนาอยู่ติดต่อกัน นาโจทก์จำเลยนี้เดิมเป็นผืนนาเดียวกัน แลเป็นของ ร. แต่ผู้เดียว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ และ ๒๔๗๓ ร. ได้โอนนารายนี้ คือโฉนดที่ ๒๙๙๑ ให้แก่ ด. แลโฉนดที่ ๒๙๙๐ ให้แก่ ก. โจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้จากภริยา ก. ซึ่งในที่สุดภริยา ก. โอนหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ บัดนี้ จำเลยรุกเข้าไปทำนาในที่ของโจทก์ ๆ จึง ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท
จำเลยต่อสู้ว่า ได้ปกครองโดยแรปักษ์สืบกันมากว่า ๑๐ ปีแล้ว
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เจ้าของได้ปกครองกันมาตลอดจนถึงจำเลยกว่า ๑๐ ปี แล้ว ตาม ม. ๑๓๘๕ จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิแต่โจทก์ได้ที่พิพาทนี้โดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริตและได้จดทะเบียนแล้ว ที่พิพาทเป็นสิทธิแก่โจทก์ตาม ม. ๑๒๙๙ พิพากษายืนตามศาลขั้นต้น ให้ขับไล่จำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมที่โจทย์จำเลยนี้เป็นของ ร. แต่ผู้เดียว โดยหลักกฎหมายนี้จะมีการโดยปรปักษ์ในเจ้าของคนเดียวกันหาได้ไม่ ก. และ ด. เพิ่งได้ที่ดินมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ - ๒๔๗๓ อย่างมากเพียง ๕ ปีเศษ เท่านั้น จำเลยจะเถียงว่าได้ปกครองโดยปรปักษ์กันมาถึง ๑๐ ปีไม่ได้จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์