โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันพยายามนำเงินตราต่างปรเทศ ประเทศอินโดจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เป็นจำนวน ๑๐๐๐๐ เหรียญ เป็นราคาเงินไทย ๖๒๕๐ บาท ซึ่งเกินกว่าจำนวนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดให้นำติดตัวเข้ามาได้ ๕๒๕๐ บาท ขอให้ลงโทษและริบของกลางจำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า เงินของกลางเป็นของจำเลย ๑๐๐๐ เหรียญ จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า เงินของกลางเป็นของจำเลย ๙๐๐๐ เหรียญ เมื่อถึงท่าด่านศุลกากรเจ้าพนักงานด่านตรวจถาม จำเลยก็นำออกแสดงทันทีแต่เจ้าพนักงานจับจำเลยโดยไม่ให้โอกาศจำเลยขออนุญาตนำเงินส่วนที่เกินกำหนดนั้นเสียก่อน ศาลชั้นต้นฟังคดีสมข้อต่อสู้จำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ ฟังว่าได้พยายามนำเงิน ๙๐๐๐ เหรียญเข้ามาในราชอาณาจักรจริง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร และ พ.ร.บ.ศุลกากรและ ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๖๑ แต่จำเลยเป็นเด็กอายุ ๑๒ ปี ให้ว่ากล่าวภาคทัณฑ์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้ยกฟ้อง ธนบัตรของกลาง ๑๐๐๐ เหรียญให้คืนจำเลยที่ ๑ นอกนั้นให้ริบฉะเพาะส่วนที่เกินกว่าจำนวน ๑๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ มีผิดตามมาตรา ๒๗ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร ๒๔๖๙ ด้วย และตามมาตรา ๑๗ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉะบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ บัญญัติว่า "ของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา ๒๗ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ ประกอบด้วย มาตรา ๑๖ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉะบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ ท่านให้ริบเสียทั้งสิ้นโดยมิพักต้องคำนึงว่าบุคคลใดจะต้องรับโทษหรือหาไม่" ดังนี้ เงินตราต่างประเทศของกลางรายนี้ จึงเป็นของต้องริบตาม พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉะบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๗.
พิพากษายืน.