โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า "ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น (2) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ (3) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น (4) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้ (5) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิด" ตามบทบัญญัติดังกล่าวการออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย ข้อเท็จจริงที่ว่า การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจึงเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างหรือไม่ เห็นว่า เช็คพิพาท มีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ทั้งจำนวนเงินและวันที่ลงในเช็คพิพาทตรงตามวิธีการชำระหนี้ด้วยเช็คที่ระบุไว้ในหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินตามปกติ แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทไว้ล่วงหน้าให้เป็นการชำระหนี้ โดยตกลงกันว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดให้นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารได้ ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยทวงถามให้ชำระหนี้ก่อนครบกำหนดตามเช็ค เช่นนี้ จำเลยจึงมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้ให้โจทก์ มิใช่เพียงเพื่อประกันหนี้ดังที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทโดยมิได้กรอกวันที่สั่งจ่ายในขณะออกเช็ค จึงไม่มีวันที่จำเลยกระทำความผิดนั้น การที่โจทก์จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้และออกเช็คพิพาทแก่กัน ตามธรรมดาย่อมจะต้องกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ด้วย จำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าวันที่กำหนดชำระหนี้เป็นวันอื่นที่ไม่ตรงกับวันที่ลงในเช็คและกำหนดเวลาชำระหนี้ตามที่ระบุในหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับจำเลยได้มอบสำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน หนังสือมอบอำนาจ และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของบุตรจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้ด้วย จึงเชื่อว่าจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เป็นผู้กรอก วัน เดือน ปี ในเช็คต่อหน้าจำเลยด้วยความยินยอมเห็นชอบของจำเลยดังที่โจทก์นำสืบ กรณีต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ออกเช็คพิพาทดังกล่าว คดีฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน