โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ริบไม้ท่อนของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน จำนวน 8,880 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสี่ จำคุกคนละ 15 ปี ริบไม้ท่อนของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน จำนวน 8,880 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นโดยจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้แย้งว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา คนร้ายสองคนร่วมกันใช้ไม้เป็นอาวุธตีผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายเอกสารหมาย จ.2 และคนร้ายได้เอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น สร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน เงินสด 780 บาท พระเลี่ยมทอง1 องค์ รวมราคา 8,880 บาท ของผู้เสียหายไป ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่เห็นว่า โจทก์มีเพียงผู้เสียหายเป็นพยานสำคัญเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่า เมื่อผู้เสียหายเดินมานั่งพักบนม้านั่งสักครู่ก็เอนตัวลงนอน นานประมาณ 10 นาที กำลังเคลิ้มหลับได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาหาจึงลืมตาขึ้นดู เห็นชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีเทาอ่อนมีแผลเป็นที่ริมฝีปากใต้จมูกกำลังเงื้อไม้ตีลงมาที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายจึงยกแขนซ้ายขึ้นกันไม้ที่ตีลงมา จึงถูกแขนและกระทบใบหน้าจนรู้สึกเจ็บผู้เสียหายล้มลงและรู้สึกตัวว่าถูกคนร้าย 2 คนเข้ามาปลดเอาทรัพย์สินไปจากตัว ผู้เสียหายเงยหน้าจะลุกขึ้นก็ถูกคนร้ายซึ่งอยู่ด้านหลังใช้ไม้ตีที่ท้ายทอยล้มคว่ำลง คนร้ายสั่งให้ผู้เสียหายส่งกระเป๋าใส่เงินให้ ผู้เสียหายล้วงกระเป๋าใส่เงินจากกระเป๋ากางเกงส่งให้แก่คนร้ายจึงเห็นหน้าคนร้ายดังกล่าวว่าเป็นชายคนเดียวกับที่พบก่อนเกิดเหตุที่หน้าห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งชายดังกล่าวใส่เสื้อลายสก๊อตสีชมพูน้ำเงิน ข้ออ้างของผู้เสียหายที่ว่าได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาหาจึงลืมตาขึ้นดูเห็นคนร้ายกำลังเงื้อไม้ตีลงมาที่ใบหน้าจึงยกแขนซ้ายขึ้นกันนั้นมีพิรุธไม่น่าเชื่อถือ เพราะตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.2 ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่หลังแขนขวาบวมและถลอกไม่ปรากฏบาดแผลที่แขนซ้ายแต่อย่างใดนอกจากนั้นยังแตกต่างกับที่ผู้เสียหายให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าถูกตีในลักษณะที่นอนยกแขนขึ้นบังหน้ากันแสงแดดเข้าตา ไม้ที่คนร้ายตีจึงถูกแขนและกระทบถูกใบหน้าเจือสมกับรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.2 อันแสดงว่าผผู้เสียหายถูกตีขณะเคลิ้มหลับไม่ทันรู้ตัว หาใช่ผู้เสียหายได้ยินเสียงและรู้ตัวมองเห็นคนร้ายที่ใช้ไม้ตีลงมา จึงยกแขนขึ้นกันไม้ของคนร้ายไม่ตามบันทึกการตรวจที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.3 ร้อยตำรวจโทมาโนชพนักงานสอบสวนบันทึกว่า "จากการสอบสวนชั้นต้นได้ความว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายนอนอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนหันศีรษะไปทางทิศใต้ และใช้แขนขึ้นปิดหน้าอยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้มีคนร้ายเข้ามาใช้ไม้ท่อนตีถูกที่แขนที่ปิดหน้าจนผู้เสียหายตกจากเก้าอี้และปลดเอาทรัพย์สินไป ผู้เสียหายไม่เห็นและไม่สามารถจำคนร้ายได้แต่อย่างใด" หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้แจ้งความและมิได้บอกตำหนิรูปพรรณของคนร้ายต่อเจ้าพนักงานตำรวจก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะจับจำเลยทั้งสองได้ แต่เหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ก็เพราะสิบตำรวจเอกสมบูรณ์ไปถึงที่เกิดเหตุสอบถามได้ความจากหญิงคนหนึ่งในที่เกิดเหตุว่าเห็นจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานผ่านที่เกิดเหตุไปมาช่วงใกล้เวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นลูกศิษย์วัด และเมื่อติดตามไปสอบถามจำเลยที่ 2 พูดจาวกวน มีอาการสั่นกลัว เป็นพิรุธและเหตุที่จับจำเลยที่ 1เพราะร้อยตำรวจเอกสมเจตน์สืบสวนทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นเพื่อนของจำเลยที่ 2 และมาหาจำเลยที่ 2 ที่วัดเป็นประจำ จึงไปตามตัวจำเลยที่ 1 ที่บ้านพัก แต่ไม่พบ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้มาพบร้อยตำรวจเอกสมเจตน์ที่สถานีตำรวจ ร้อยตำรวจเอกสมเจตน์จึงได้ควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินคดีนี้ ผู้เสียหายเบิกความว่า เย็นวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจได้มาที่โรงพยาบาลบอกว่าจับผู้ต้องสงสัยได้แล้วและเอาเสื้อ 3 ตัวให้ผู้เสียหายดู มีอยู่ตัวหนึ่งเป็นเสื้อลายสก๊อตสีชมพูน้ำเงินเหมือนเสื่อของคนร้าย หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบถามถึงตำหนิรูปพรรณของคนร้าย ผู้เสียหายจึงได้บอกว่าคนร้ายคนหนึ่งผิวดำมีรอยสักที่แขนและหน้าอก อีกคนผิวขาวมีแผลเป็นที่ริมฝีปากหรือที่เรียกว่าคนปากแหว่ง ตำหนิรูปพรรณคนร้ายและเสื้อของคนร้ายนี้กล่าวอ้างขึ้นหลังจับคนร้ายทั้งสองได้แล้ว จึงมีน้ำหนักน้อยเพราะง่ายต่อการที่จะอ้างขึ้นได้ ผู้เสียหายไม่รู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน แต่ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ทำบันทึกการชี้ตัวคนร้ายให้ผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ว่าผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายหรือไม่ ร้อยตำรวจเอกสมเจตน์และร้อยตำรวจโทมาโนชเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17นาฬิกาได้รับตัวผู้เสียหายจากโรงพยาบาลมาดูจำเลยทั้งสองที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองหนองคาย โดยให้ผู้เสียหายมองลอดช่องกระจกจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งมีจำเลยทั้งสองตั่งอยู่ผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย แต่ผู้เสียหายเบิกความว่า หลังเกิดเหตุ 3 วันเจ้าพนักงานตำรวจมารับตัวผู้เสียหายจากโรงพยาบาลไปดูตัวคนร้ายที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองหนองคายโดยมีผู้ต้องขังรวมกันอยู่ในห้องขังประมาณ 10 คน ผู้เสียหายดูแล้วชี้จำเลยทั้งสองว่าเป็นคนร้าย ซึ่งแตกต่างกับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมเจตน์และร้อยตำรวจโทมาโนชทั้งในเรื่องวันเวลาสถานที่และจำนวนคน เกี่ยวกับกระเป๋าใส่เงินของผู้เสียหายนั้นสิบตำรวจเอกสมบูรณ์เบิกความว่า พบอยู่ที่ข้างพุ่มไม้ห่างหน้าบ้านพักจำเลยที่ 1 ประมาณ 10 เมตร เปิดออกดูมีบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายอยู่ด้วย แต่บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่าพบกระเป๋าอยู่ที่รถสามล้อคันที่จำเลยที่ 1 ใช้ขับรับจ้างบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย ป.จ.2 ระบุว่า ยึดกระเป๋าได้จากปากซอยบ้านจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เสียหายอยู่ด้วยแต่อย่างใด พยานโจทก์ดังที่วินิจฉัยมาล้วนมีข้อพิรุธไม่น่าเชื่อถือ กรณีมีเหตุสงสัยตามสมควรจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง"
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.