โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาขายน้ำตาลทรายให้โจทก์ แต่ผิดสัญญาส่งมอบน้ำตาลทรายให้ไม่ครบถ้วนภายในกำหนด โดยส่งมอบเมื่อพ้นกำหนดแล้ว ๒๐๐ กระสอบ ซึ่งตามสัญญากำหนดไว้ให้ปรับกระสอบละ๑๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยส่งมอบไม่เกินกำหนด จำเลยได้ส่งมอบเสร็จสิ้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่แสดงว่ามีความเสียหายอย่างใดโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องปรับค่าเสียหาย
ก่อนชี้สองสถาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นว่า๑. ฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ว่าขณะโจทก์รับมอบน้ำตาลทราย ๒๐๐กระสอบสุดท้าย โจทก์ได้บอกสงวนสิทธิในการเรียกเบี้ยปรับ โจทก์จึงเรียกเบี้ยปรับไม่ได้ ๒. สัญญาซื้อขายระบุการส่งมอบไว้ว่า "ทั้งนี้ไม่ช้ากว่าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๗" แต่โจทก์ว่าต้องส่งมอบภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗ หากแปลดังจำเลยว่า โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า เป็นเรื่องที่อาศัยข้อเท็จจริงอยู่ด้วยจะได้วินิจฉัยในคำพิพากษา
เมื่อพิจารณาเสร็จ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบถ้วนแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงเรื่องการบอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับ จำเลยส่งมอบน้ำตาลทรายต้นกำหนดตามสัญญาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่า ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าข้อบอกกล่าวสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับ ไม่จำเป็นต้องกล่าวในคำฟ้อง เป็นการไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายความไว้แล้วว่า ตามสัญญาซื้อขาย จำเลยจะต้องส่งมอบน้ำตาลทรายให้แก่โจทก์ทั้งหมดภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗แต่จำเลยส่งมอบเพียง ๑,๘๐๐ กระสอบ ส่วนอีก ๒๐๐ กระสอบ จำเลยได้ส่งมอบเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๐๗ อันเป็นการเกินกำหนดระยะเวลาตามสัญญา ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องรับผิดใช้ค่าปรับเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์กระสอบละ ๑๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์และทนายโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ทั้งโจทก์ยังได้ส่งสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายและสำเนาหนังสือทนายโจทก์มาท้ายฟ้องด้วย ตามหลักฐานและคำฟ้องดังนี้ ย่อมแสดงอยู่ในตัวแล้วว่า โจทก์ได้บอกสงวนสิทธิในการที่จะเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาจากจำเลย และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์ได้บอกสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับไว้แล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างแปลความหมายแห่งสัญญาซื้อขายยังไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายข้อ ๓ มีความว่า ผู้ขายต้องส่งมอบน้ำตาลทรายขาวแก่ผู้ซื้อภายใน ๑๕ วันหลังจากโรงงานของผู้ขายเริ่มเปิดดำเนินการหีบอ้อยประจำปี และทั้งนี้ไม่ช้ากว่าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๗ (๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗) ซึ่งข้อความดังกล่าวนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างที่แปลว่า เป็นข้อความที่มีข้อตกลงให้จำเลยต้องส่งมอบน้ำตาลทรายจำนวน ๒,๐๐๐ กระสอบแก่โจทก์ครบถ้วนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่โรงงานของจำเลยเปิดทำการหีบอ้อยประจำปีส่วนข้อความที่ว่า "และทั้งนี้ไม่ช้ากว่าปลายเดือนธันวาคม ๒๕๐๗(๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗)" นั้น หมายถึงว่า หากจำเลยเปิดทำการหีบอ้อยล่าช้ากว่าวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ แม้จะถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ไม่ครบ ๑๕ วัน จำเลยก็จะต้องส่งมอบน้ำตาลทรายแก่ โจทก์ให้ครบภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ คดีนี้ จำเลยรับว่า ได้เปิดหีบอ้อยประจำปี ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๗ จำเลยจึงต้องส่งมอบน้ำตาลทรายภายใน๑๕ วัน คือภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๐๗
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างให้ปรับจำเลยกระสอบละ ๑๐๐ บาทไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้นำน้ำตาลทรายมาส่งมอบในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๗ แต่โจทก์ไม่ยอมรับ เพิ่งมายอมรับเมื่อวันที่๒๒ โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า การที่จำเลยส่งมอบล่าช้า โจทก์เสียหายอย่างไร ศาลฎีกาพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์แล้ว เห็นควรลดเบี้ยปรับเหลือกระสอบละ ๕๐ บาท
พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้เบี้ยปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท