โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันฆ่าผู้ตาย และนำศพไปฝังเพื่อทำลายสักขีพะยาน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๒-๓--๕-๖-๗-๘ ผิดตามมาตรา ๒๔๙ แต่กฎหมายลักษณอาญาจำเลยที่ ๑ ผิดตามมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. ๒๔๓๒ และพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๖ จำเลยที่ ๔ ไม่ผิดตามมาตรา ๑๔๒-๑๕๔ เพราะจำเลยเป็นตัวการทำผิดคดีนี้เสียเอง ให้ปล่อยไป
โจทก์และจำเลยที่ ๒-๓-๕-๖-๗-๘ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ ๒-๓-๕-๖-๗-๘ เป็นผู้ฆ่าผู้ตาย ลงโทษตามบทกำหนดโทษของศาลชั้นต้น แต่ให้เพิ่มกำหนดเป็นจำคุกคนละ ๒๐ ปี จำเลยที่ ๔ ผิดตามมาตรา ๑๔๒-๑๕๔ และจำเลยที่ ๑ ผิดตามมาตรา ๑๕๔ บทเดียว แต่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า จำเลยที่ ๑ และ ๔ ถูกหาเรื่องฆ่าผู้ตายแล้วจะถูกหาในเรื่องซ่อนเร้นศพผู้ตายอีกไม่ได้ และฟ้องโจทก์กล่าวว่า การซ่อนศพผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อช่วยตัวเองและช่วยผู้อื่น โจทก์ไม่ได้ใช้คำว่า "หรือ" และปรากฎว่าจำเลยที่ ๑-๔ เจตนาช่วยตัวเองเช่นนี้ก็ไม่ผิดตามมาตรา ๑๔๒ หรือ ๑๕๔
จำเลยทั้ง ๘ ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีสำหรับจำเลยที่ ๒-๓-๕-๖-๗-๘ ฟังได้ว่าได้สมคบกันฆ่าผู้ตายจริง ส่วนจำเลยที่ ๑-๔ เป็นผู้ช่วยเอาศพผู้ตายไปฝัง ซึ่งเป็นผิดตามมาตรา ๑๕๔ ถูกต้องแล้ว สำหรับจำเลยที่ ๔ ไม่ได้ความว่าถูกใช้ให้มีหน้าที่สืบเสาะคดีแต่อย่างใด จึงไม่ผิดตามมาตรา ๑๔๒ แห่งกฎหมายลักษณอาญาด้วย คงผิดตามมาตรา ๑๕๔ แต่บทเดียว พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์