คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ตามลำดับ
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 , 33, 80, 83, 91, 92, 210, 289, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 55, 72, 72 ทวิ, 78 ริบของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ระหว่างพิจารณา นายวิทยา ผู้เสียหายที่ 1 และนายพิชิต ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยโจทก์ร่วมที่ 1 ขอให้ชดใช้เป็นเงิน 190,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และโจทก์ร่วมที่ 2 ขอให้ชดใช้เป็นเงิน 295,000 บาท
จำเลยทั้งหกให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 210 วรรคสอง, 371, 376 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 55, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร และฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละตลอดชีวิต ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ และฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี ความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน ส่วนฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตจึงไม่อาจเพิ่มโทษได้อีก ทางนำสืบของจำเลยทั้งหกเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 1 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จำคุกคนละ 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 36 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 คนละ 34 ปี 16 เดือน ริบของกลาง กับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 75,000 บาท และแก่โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 75,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 1 กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วัน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 10 เดือน 20 วัน เมื่อรวมกับโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 34 ปี 23 เดือน 30 วัน และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 75,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 1 ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมที่ 1 ขอกับมิต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ร่วมที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ประการแรกว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันเป็นซ่องโจร และร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฎีกาเป็นทำนองว่า คืนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เพียงร่วมเดินทางไปยังที่เกิดเหตุเนื่องจากเข้าใจว่าพวกของจำเลยทั้งหกจะไปปรับความเข้าใจกับโจทก์ร่วมที่ 1 เห็นว่า ในการวินิจฉัยถึงการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จำต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงประกอบ ทั้งก่อน ขณะและภายหลังการใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในกลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสอง ที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนและมีเจตนาร่วมกันที่จะก่อเหตุร้ายกับกลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสองหรือไม่ สำหรับมูลเหตุจูงใจที่เป็นสาเหตุให้เกิดการกระทำความผิดในครั้งนี้ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1 ว่า สาเหตุที่ถูกยิงเนื่องจากก่อนเกิดเหตุ 1 วัน โจทก์ร่วมที่ 1 ได้โพสต์ข้อความในเชิงตำหนินายเสี่ยโป้ ในเฟซบุ๊กว่า เหตุใดไม่ดูแลเพื่อนรุ่นน้องของโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ร่วมเดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วยกัน ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความตอบโจทก์ถามค้านเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองยอมรับว่ามีความสนิทสนมกับนายเสี่ยโป้ เมื่อทราบว่ามีคนโพสต์ว่านายเสี่ยโป้ก็รู้สึกไม่พอใจ โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองยังมีบันทึกคำให้การในฐานะพยานของจำเลยที่ 3 และที่ 6 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ได้ความว่า ในวันเกิดเหตุเวลากลางวัน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 อยู่ที่บ้านเช่าในซอยบุญชู ทราบว่ามีการโพสต์ด่านายเสี่ยโป้ จึงมีการรวมตัวกันที่บ้านเช่าดังกล่าว เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 3 ที่ 6 นายไตรภพ และนายเขมทัต น้องชายนายเสี่ยโป้ ได้ออกจากบ้านเช่าไปที่วัดจันทร์ประดิษฐาราม เมื่อไปถึงนายเขมทัตได้ตะโกนหาโจทก์ร่วมที่ 1 แต่ไม่พบ จึงได้กลับมาที่บ้านเช่า ต่อมาเฟซบุ๊กของโจทก์ร่วมที่ 1 ได้โพสต์ข้อความด่านายเขมทัตที่ไปถามหาโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งคำให้การเกี่ยวกับการโพสต์ด่าดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความในเฟซบุ๊กของโจทก์ร่วมที่ 1 กระทั่งเวลา 19.30 นาฬิกา จำเลยที่ 5 และที่ 6 ได้ออกไปดูโจทก์ร่วมที่ 1 อีกครั้ง พบกลุ่มวัยรุ่นนั่งดื่มสุราบริเวณทางเท้าหน้าวัดจันทร์ประดิษฐาราม จึงได้กลับมาที่บ้านเช่าเพื่อแจ้งกับกลุ่มให้ทราบ บันทึกคำให้การในฐานะพยานของจำเลยที่ 3 และที่ 6 เป็นคำให้การภายหลังเกิดเหตุไม่กี่วันและสอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 3 และที่ 6 ให้การไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และจากการที่พวกจำเลยทั้งหกมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับนายเขมทัต และมีการรวมกลุ่มกันตลอดมาที่บ้านเช่าภายในซอยบุญชูดังกล่าว แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ย่อมมีความรู้สึกไม่พอใจโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ได้โพสต์ด่านายเสี่ยโป้และนายเขมทัต สำหรับพฤติการณ์ของจำเลยทั้งหกก่อนเกิดเหตุ ได้ความจากร้อยตำรวจเอกณกฤตชัย และร้อยตำรวจเอกทรงพล รองสารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญ ซึ่งเป็นผู้ดูภาพกล้องวงจรปิดบริเวณสถานที่เกิดเหตุและกล้องวงจรปิดย้อนกลับไปตลอดเส้นทางที่ผู้ก่อเหตุเดินทางมา จนถึงกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งบริเวณหน้าหมู่บ้าน ด. พันตำรวจโทอาทิตย์ พนักงานสอบสวนร่วม และร้อยตำรวจเอกเดชาธร พนักงานสอบสวน ประกอบวีดิทัศน์และภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าหมู่บ้าน ด. ว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้งหกกับพวกรวมตัวกันที่หน้าหมู่บ้าน ด. ในซอยเพชรเกษม 48 แยก 4 ถึง 7 และเมื่อเวลา 21.17 นาฬิกา มีรถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีขาวขับมาจอดหน้าหมู่บ้าน ด. คนในรถเปิดกระจก ชายที่นั่งข้างคนขับมีท่าทางเก็บวัตถุลักษณะคล้ายมีดดาบอยู่ในรถ จากนั้นลงจากรถเดินไปยังหน้าบ้านเช่าที่กลุ่มวัยรุ่นรวมตัวกันอยู่ และมีชายสวมเสื้อยืดสีดำด้านหลังมีลายรูปตัววีสีขาว ซึ่งนายสุรชาติ ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง และจำเลยที่ 1 ยืนยันว่าเป็นนายสุภกฤต ถือวัตถุยาวสีดำคล้ายอาวุธ มีผ้าสีขาวที่มือจับ เดินมาพูดคุยกับบุคคลในรถยนต์ เวลา 21.21 นาฬิกา ชายที่นั่งข้างคนขับเดินกลับมาขึ้นรถ ส่วนนายสุภกฤตถือวัตถุดังกล่าวเดินกลับไปที่หน้าบ้านเช่าซึ่งมีชายหลายคนยืนอยู่ จำเลยที่ 1 เดินไปพูดคุยกับบุคคลในรถยนต์แล้วหยิบวัตถุลักษณะคล้ายมีดดาบจากรถยนต์กลับไปที่หน้าบ้านเช่า ต่อมาเวลา 21.23 นาฬิกา จำเลยทั้งหกกับพวกที่รวมตัวกันที่หน้าบ้านเช่าขับและซ้อนรถจักรยานยนต์คันละ 2 คน มาทางหน้าหมู่บ้าน ด. โดยมีรถจักรยานยนต์บางคันจอดรถข้างรถยนต์แล้วลงไปพูดคุยกับบุคคลในรถยนต์อีกครั้ง รถจักรยานยนต์บางคันมีวัตถุคล้ายมีดดาบวางอยู่บนตักของคนซ้อน จากนั้นรถยนต์และกลุ่มรถจักรยานยนต์ออกเดินทางไปที่เกิดเหตุพร้อมกัน เวลา 21.35 นาฬิกา รถยนต์และกลุ่มรถจักรยานยนต์ขับชะลอจอดตามกันที่หน้า อ. แมนชั่น จะเห็นได้ว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้งหกกับพวกมีการรวมตัวกันที่หน้าบ้านเช่าในซอยบุญชู เมื่อรถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีขาวมาจอดหน้าหมู่บ้าน ด. คนในรถก็ลงจากรถเข้าไปพบกับพวกที่รวมกลุ่มอยู่หน้าบ้านเช่า นายสุภกฤตผู้ก่อเหตุที่ใช้อาวุธปืนคนหนึ่งก็ถือวัตถุที่มีลักษณะคล้ายอาวุธไปพบกับบุคคลในรถยนต์ จำเลยที่ 1 เดินไปพูดคุยกับบุคคลในรถยนต์แล้วหยิบวัตถุลักษณะคล้ายมีดดาบจากรถยนต์กลับมาที่หน้าบ้าน ต่อมาจำเลยทั้งหกกับพวกก็ขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกเดินทางจากบ้านเช่า แล้วมีการพูดคุยกับบุคคลที่อยู่ในรถยนต์ที่หน้าหมู่บ้าน ด. จากนั้นก็เดินทางมายังที่เกิดเหตุถึงบริเวณหน้า อ. แมนชั่น โดยทั้งหมดสวมใส่หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก ซึ่งฎีกาของจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่า หากไม่สามารถปรับความเข้าใจกับโจทก์ร่วมที่ 1 ได้จนถึงขั้นชกต่อยหรือมีเรื่องราววิวาทกัน ฝ่ายของโจทก์ร่วมที่ 1 จะได้ไม่สามารถจดจำใบหน้าและกลับมาล้างแค้นได้ในภายหลัง อันแสดงว่าก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้งหกกับพวกทุกคนย่อมต้องรู้ถึงแผนการอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างในการเดินทางไปพบกับกลุ่มโจทก์ร่วมที่ 1 ที่จำเลยบางคนฎีกาว่า การสวมหน้ากากอนามัยของจำเลยทั้งหกกับพวกไม่ใช่เพื่อปิดบังใบหน้า แต่เพราะขณะเกิดเหตุเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งมีข้อบังคับให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย ก็เห็นว่าขัดต่อเหตุผล เพราะหากจำเลยทั้งหกต้องการปฏิบัติตามกฎหมายก็สมควรสวมใส่หมวกนิรภัยในขณะขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์แทนที่จะเพียงใส่หน้ากากอนามัย สำหรับพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุ ก็ปรากฏจากคำเบิกความของนายปรวัตร น้องชายโจทก์ร่วมที่ 1 และนายณัฐนนท์ ประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง ที่อยู่บริเวณหน้า อ. แมนชั่น ประกอบวีดิทัศน์กล้องวงจรปิดหน้า อ. แมนชั่น แสดงเหตุการณ์ในช่วงเวลาเกิดเหตุว่า เวลา 21.35 นาฬิกา รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีขาวและกลุ่มรถจักรยานยนต์ขับชะลอจอดตามกันที่หน้า อ. แมนชั่น เมื่อจอดรถเสร็จมีเสียงตะโกนให้ลงจากรถ จากนั้นนายสุภกฤตลงจากรถมายิงปืนไปทางหน้าวัดทันทีเป็นคนแรก ตามด้วยนายไตรภพ และนายกันต์ โดยยิงประมาณ 10 ถึง 20 นัด แล้วจำเลยทั้งหกกับพวกก็ขับรถจักรยานยนต์หนีไปกับคนร้ายทั้งสาม เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุ ปรากฏว่ากลุ่มรถจักรยานยนต์และรถยนต์ชะลอมาจอดบริเวณหน้า อ. แมนชั่น ห่างจากจุดที่กลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสองนั่งอยู่ประมาณ 30 เมตร ก่อนจะมีการยิงปืนเข้าใส่กลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสองทันที ซึ่งการจอดรถห่างจากจุดที่กลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสองนั่งอยู่ห่างไกลกันพอสมควรผิดวิสัยของคนที่ต้องการไปพูดคุย แต่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งหกกับพวกมิได้ตั้งใจจะไปปรับความเข้าใจกับโจทก์ร่วมที่ 1 ตั้งแต่แรกแล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อก่อเหตุร้ายต่อโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ไปโพสต์ด่านายเสี่ยโป้และน้องชาย ทั้งการใช้อาวุธปืนยิงถึงประมาณ 10 ถึง 20 นัด โดยผู้กระทำความผิดที่ใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสองมี 3 คน ถือว่ามีการใช้เวลากระทำความผิดนานพอสมควร และการที่มีผู้ใช้อาวุธปืนในกลุ่มจำเลยทั้งหกกับพวกถึง 3 คน พฤติการณ์ที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งหกย่อมต้องมีส่วนร่วมรู้เห็นในการที่พวกของจำเลยทั้งหกพาอาวุธปืนเดินทางไปที่เกิดเหตุพร้อมกัน และเป็นการร่วมกันคบคิดที่จะใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสอง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะหลบหนีจากที่เกิดเหตุไปในทันทีที่มีการยิงเข้าไปในกลุ่มโจทก์ร่วมทั้งสองแต่อย่างใด กลับรอให้การกระทำผิดเสร็จสิ้น นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ขับรถให้นายกันต์ซ้อนท้ายหลังจากก่อเหตุยิงโจทก์ร่วมทั้งสองแล้ว เนื่องจากรถจักรยานยนต์ของนายกันต์สตาร์ตไม่ติด จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกันทั้งหมด อันแสดงว่ากลุ่มของจำเลยทั้งหกพร้อมจะช่วยเหลือคนร้ายให้หลบหนีจากสถานที่เกิดเหตุในทันทีหากมีเรื่องอะไรผิดพลาด นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ภายหลังเกิดเหตุ จำเลยทั้งหกกับพวกยังขับรถจักรยานยนต์ไปรวมตัวกันที่โรงแรม ห. อีกครั้ง อันแสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนในการกระทำความผิดครั้งนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จภารกิจ ดังนั้น จากพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมา เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งหกกับพวกเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ อันเป็นตัวการในการกระทำความผิด โดยมีการวางแผนร่วมกันและเดินทางมายังที่เกิดเหตุพร้อมกัน ทั้งยังหลบหนีไปด้วยกัน พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองที่นำสืบมาฟังได้มั่นคงปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งหกกับพวกกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันเป็นซ่องโจร และร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ฎีกาขอให้กำหนดโทษตามความเหมาะสมแก่เจตนาและพฤติการณ์หรือลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 สถานเบาแล้วและยังลดโทษให้กึ่งหนึ่งเป็นการเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนแพ่งแก่โจทก์ร่วมทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกพยายามฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสอง จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อปรากฏจากฎีกาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ว่า นางสาวทิพย์วรรณ พี่สาวของจำเลยที่ 1 นำเงินค่าเสียหาย 161,250 บาท มาวางศาลเพื่อชำระให้แก่โจกท์ร่วมทั้งสองและโจทก์ร่วมทั้งสองได้รับเงินดังกล่าวจากศาลชั้นต้นไปคนละ 80,625 บาท แล้ว จึงต้องนำเงินดังกล่าวคิดหักออกจากจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งหกต้องร่วมชำระให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง โดยชำระเป็นค่าดอกเบี้ยก่อน หากมีเงินเหลือจึงนำไปชำระต้นเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวนเท่ากับคำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ความผิดฐานเป็นซ่องโจรเป็นการกระทำกรรมเดียวกับฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนนั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากโจทก์บรรยายคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกฐานเป็นซ่องโจรอีกกรรมหนึ่ง ทั้งการกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจรย่อมเป็นความผิดสำเร็จเมื่อมีการสมคบกันวางแผนเพื่อกระทำการอันเป็นความผิด แม้ยังมิได้มีการกระทำการตามที่ได้สมคบก็ตาม ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกซึ่งกระทำผิดฐานดังกล่าวเพิ่มขึ้น จึงมิอาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยทั้งหกได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งหก ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจรอีกกรรมหนึ่ง และให้นำเงินที่โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับคนละ 80,625 บาท หักออกจากจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งหกต้องร่วมชำระแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง โดยหักชำระดอกเบี้ยก่อน หากมีเงินเหลือจึงนำไปชำระต้นเงิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ