ได้ความว่าที่พิพาท  ๓ แปลงไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่เปนของ  ช.บิดาจำเลยและ  ส.ภรรยาโจทก์   โจทก์อ้างพินัยกรรมของ ช.เปนพะยานว่า  ช.ได้ยกที่พิพาทให้โจทก์และภรรยาโจทก์  แต่หนังสือพินัยกรรมนั้นไม่มีลายมือชื่อผู้ลุกนั่งเลย  มีแต่ดวงตราประทับไว้ ๓ ดวงตรงที่มีชื่อผู้นั่ง  และไม่ปรากฏว่า  ช.ได้ลงชื่อหรือ+ใด  ลายนิ้วมือไว้ในหนังสือพินัยกรรมนี้  ทั้งโจทก์ก็ไม่สืบว่าดวงตราที่ประทับบนพินัยกรรมนั้นเปนของพะยานผู้นั่งคนใด   ส่วนที่ดินรายพิพาทปรากฏว่า โจทก์ปกครองแต่ในแปลงหมายเลย ๓ จำเลยปกครองในแปลงหมายเลย  ๒  ส่วนแปลงหมายเลข  ๑  โจทก์  จำเลยต่างปกครองมาด้วยกัน  ดังนี้
ศาลเดิมตัดสินว่าที่แปลงหมายเลข ๑ และ ๓ ช.ได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์กับภรรยา  ส่วนแปลงหมายเลข ๒ ย.ยกให้โจทก์  แต่ที่แปลงหมายเลข ๑ จำเลยปกครองโดยอำนาจปรปักษ์มา ๒๐ ปีแล้ว  จึงให้ที่แปลงหมายเลข ๒-๓  เปนของโจทก์  หมายเลข ๑ เปนของจำเลย
ศาลฎีกาตัดสินแก้ศาลเดิมยืนตามศาลอุทธรณ์ว่าพินัยกรรมที่โจทก์อ้างนั้น  ฟังไม่ได้ว่าเปนพินัยกรรมอันชอบด้วยกฎหมาย  จึงให้ขับไล่และห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องในที่แปลงหมายเลข ๓ ส่วนแปลงหมายเลข ๑ เปนมฤดกให้แบ่งออก ๓ ส่วน เปนของโจทก์ส่วน ๑ และจำเลยคนละส่วน  กับให้ยกฟ้องโจทก์ในที่แปลงหมายเลข ๒