คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11145, 11146 ตำบลเชียงรากน้อย (คลองซอยที่ 1 ฝั่งตก) อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง แต่ผู้ร้องให้จำเลยเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนจากผู้ขายและมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนผู้ร้อง จำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โดยผู้ร้องยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ระหว่างไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ทนายผู้ร้องแถลงไม่ติดใจให้ศาลไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและขออนุญาตขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลตามคำร้องขัดทรัพย์ออกไปอีก 30 วัน นับแต่วันแถลงต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 อนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินไปถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาลออกไป 30 วัน นับแต่วันครบกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า ศาลได้ให้โอกาสผู้ร้องหาเงินมาชำระต่อศาลเป็นเวลา 30 วัน ก่อนหน้านี้แล้ว ตามคำร้องอ้างลอยๆ ว่าอยู่ระหว่างขอทำเรื่องกู้เงินจากสถาบันการเงินแต่ไม่มีหลักฐานมาแสดงไม่น่าเชื่อถือ และไม่ถือว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษและเหตุสุดวิสัย ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาล ให้ยกคำร้อง หลังจากพ้นกำหนดที่ผู้ร้องจะต้องชำระเงินแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 ว่าทนายผู้ร้องไม่มาดำเนินการตามคำสั่งศาล ถือว่าผู้ร้องไม่ติดใจให้ไต่สวนคำร้อง ให้ยกคำร้อง และให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ วันที่ 9 ธันวาคม 2548 ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระเงินค่าขึ้นศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ ทั้งที่มีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วยในผล มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้อง ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2548 และคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถึงแก่ความตาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้หมายเรียก นายโยธิน นางนราวัลย์ นายอมร และนายไพบูลย์ ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกามีคำสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว แต่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคำสั่ง ผู้ร้องจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คำร้องขอขยายระยะเวลาของผู้ร้องที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินของผู้ร้อง ฉบับลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2548 จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณานอกเหนือจากคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227, 228 แล้ว ผู้ร้องจะต้องโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เว้นแต่ผู้ร้องจะไม่มีโอกาสที่จะโต้แย้งได้ การที่ทนายผู้ร้องได้ลงชื่อรับทราบในคำร้องฉบับดังกล่าวเพื่อให้มาฟังคำสั่งในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2548 กรณีย่อมต้องถือว่า ผู้ร้องได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2548 ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 ให้จำหน่ายคดีของผู้ร้องออกจากสารบบความ อันเป็นเวลาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึง 4 วัน ผู้ร้องย่อมมีโอกาสเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนี้ได้ แต่ผู้ร้องก็มิได้โต้แย้ง เป็นการไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ