คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดคืนเงินค่าหุ้นจำนวน 36,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ได้รับไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้จำนวน 15,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา และจำเลยที่ 1 ทำหนังสือค้ำประกันต่อศาลชั้นต้น ตามสัญญาค้ำประกันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6609/2552 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2555 พร้อมนำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 (พลาซ่า) ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 และเลขที่ 252/11 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 A ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 รวม 2 ห้อง วางไว้เป็นหลักประกันต่อศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 11 พฤษภาคม 2560 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 และตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำแผน และวันที่ 24 กันยายน 2558 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากมูลหนี้ในคดีนี้เป็นเจ้าหนี้รายที่ 8 และได้รับชำระหนี้ตามแผนครบถ้วนแล้ว เป็นเงิน 10,008,104.75 บาท ศาลชั้นต้นจึงให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งคำร้องของจำเลยที่ 1 ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ และมีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการให้แก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว จึงขอคืนหลักประกันห้องชุดเลขที่ 252/252 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 (พลาซ่า) ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 และเลขที่ 252/11 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 A ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 จำนวน 2 ห้อง อันเป็นหลักประกันที่วางตามหนังสือค้ำประกันต่อศาล ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2555
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ถูกบังคับคดีในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่ถูกบังคับคดีในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ตามหนังสือค้ำประกันฉบับลงวันที่ 14 ธันวาคม 2555 จำเลยที่ 1 จึงต้องถูกบังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่นำมาวางไว้เป็นหลักประกัน ไม่มีเหตุที่จะคืนหลักประกันดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 (พลาซ่า) ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 และเลขที่ 252/11 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 A ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ วันที่ 14 มิถุนายน 2553 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดห้องชุดเลขที่ 1095/161 ชั้นที่ 30 ชื่ออาคารชุดอีสทาว์นเวอร์ อาคารเลขที่ 1 ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 13/2538 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 243046 กรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 และวันที่ 24 มิถุนายน 2553 นำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 312, 2613, 36860 และ 37112 ในจังหวัดภูเก็ต รวม 4 แปลง กรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยจำเลยที่ 1 นำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 และ 252/11 รวม 2 ห้อง มาเป็นหลักประกัน และได้ทำสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2554 จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลถอนการบังคับคดีแก่ห้องชุดเลขที่ 1095/161 ของจำเลยที่ 3 และที่ดิน 4 แปลงที่จังหวัดภูเก็ตของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 อนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถอนหลักประกันห้องชุด เลขที่ 252/252 และเลขที่ 252/11 จำนวน 2 ห้อง ที่ทำหนังสือค้ำประกันไว้ต่อศาลตามสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 และให้งดการบังคับคดีชั่วคราวห้องชุดเลขที่ 1095/161 และที่ดินรวม 4 แปลงที่จังหวัดภูเก็ตที่โจทก์ยึดไว้ ต่อมาภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รับผิดชำระหนี้ต่อโจทก์ วันที่ 28 กันยายน 2555 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องของดการบังคับคดี โดยขอให้ถอนการยึดที่ดินที่จังหวัดภูเก็ตจำนวน 4 แปลงของจำเลยที่ 1 และขอนำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 และเลขที่ 252/11 รวม 2 ห้อง ให้ยึดเป็นหลักประกันแทน พร้อมยื่นฎีกาและคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา วันที่ 4 ธันวาคม 2555 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนหลักประกัน โดยขอให้ถอนการยึดที่ดินที่จังหวัดภูเก็ตจำนวน 4 แปลงของจำเลยที่ 1 และขอนำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 และเลขที่ 252/11 รวม 2 ห้อง มาวางเป็นหลักประกันแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต และให้ทำสัญญาประกันใหม่ วันที่ 14 ธันวาคม 2555 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือค้ำประกันในคดีแพ่งโดยนำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 และเลขที่ 252/11 รวม 2 ห้อง วางไว้เป็นหลักประกัน และวันที่ 18 ธันวาคม 2555 ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งอายัดกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสองห้องไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อให้ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้องชุดทั้งสองห้อง ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.20/2557 ให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 และตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำแผน และวันที่ 24 กันยายน 2558 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหนี้รายที่ 8 และได้รับชำระหนี้ตามแผนครบถ้วนแล้ว เป็นเงิน 10,008,104.75 บาท และวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิขอคืนหลักประกัน ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 14 ธันวาคม 2555 หรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดคืนเงินค่าหุ้นจำนวน 36,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ได้รับไปจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ พร้อมค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดห้องชุดเลขที่ 1095/161 ของจำเลยที่ 3 และที่ดิน 4 แปลงในจังหวัดภูเก็ต ของจำเลยที่ 1 ไว้ แสดงว่าโจทก์ได้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษากับจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้ว เพียงแต่ในระหว่างที่มีการอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีสำหรับห้องชุดของจำเลยที่ 3 และที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ยึดไว้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนหลักประกันที่โจทก์ได้นำยึดไว้ดังกล่าว โดยขอให้ถอนการยึดที่ดินที่จังหวัดภูเก็ตจำนวน 4 แปลง ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยินยอมทำหนังสือค้ำประกันในคดีแพ่งลงวันที่ 14 ธันวาคม 2555 โดยนำหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 และเลขที่ 252/11 รวม 2 ห้อง มาวางเป็นหลักประกันแทนโดยมีข้อตกลงความว่า ถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 3 แพ้คดีโจทก์ และไม่นำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 ยอมให้บังคับเอาจากทรัพย์สินที่นำมาวางไว้เป็นหลักประกันต่อศาลทันที และวันที่ 18 ธันวาคม 2555 ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งอายัดกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสองห้องไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อให้ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือเพิกถอนการจดทะเบียนห้องชุดทั้ง 2 ห้อง จึงถือได้ว่า ห้องชุดเลขที่ 252/252 และเลขที่ 252/11 รวม 2 ห้อง ของจำเลยที่ 1 เป็นหลักประกันที่จำเลยที่ 1 วางต่อศาลสำหรับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อให้ศาลงดการบังคับคดี หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ในการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/27 วรรคหนึ่ง โจทก์จะต้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ก็ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ และได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ตามแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 จนครบถ้วน ทั้งนี้ เมื่อศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 แล้ว จึงส่งผลให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวงซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ อันรวมถึงหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/75 โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 อันรวมถึงทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ได้อีก กรณีจึงต้องคืนทรัพย์ที่วางประกันให้แก่จำเลยที่ 1 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องขอคืนหลักประกันของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นถอนการอายัดและคืนหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 252/252 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 (พลาซ่า) ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 และเลขที่ 252/11 ชั้นที่ 7 อาคารเลขที่ 252/6 A ชื่ออาคารชุดเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์ ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 17/2537 ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 415 แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลให้เป็นพับ