โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 317 วรรคสาม เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษฐานกระทำชำเราเด็ก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่โจทก์ จำเลยไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ฮ. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 10 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของนาง ก. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นยาย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องผู้เสียหายที่ 1 ออกจากบ้านของผู้เสียหายที่ 2 ไปเล่นกับเพื่อนอยู่ใต้ถุนบ้านของจำเลย และผู้เสียหายที่ 1 นั่งอยู่คนเดียวที่รถยนต์กระบะของจำเลยที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้าน จำเลยอุ้มผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านเข้าไปในห้องนอนแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านของจำเลย โดยขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อยู่ที่บ้านจำเลยก่อนแล้ว จำเลยไม่มีส่วนในการนำพาไปที่บ้านของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก บัญญัติว่า "ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลต้องระวางโทษฯ" ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีความุม่งหมาย เพื่อให้ความคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีต่อผู้เยาว์มิให้ผู้ใดพาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแลโดยไม่จำกัดว่าจะกระทำด้วยวิธีใด และไม่คำนึงถึงระยะใกล้หรือไกล แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายที่ 1 นั่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านของจำเลย แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังอยู่ในความปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 จำเลยไม่มีสิทธิจะพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังที่ใดโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอม การที่จำเลยมาอุ้มผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านพาไปห้องนอนแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ถือว่าจำเลยแยกสิทธิปกครองของผู้เสียหายที่ 2 ในการควบคุมดูแลผู้เสียหายที่ 1 โดยปราศจากเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครองเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 นั้น เห็นว่า จำเลยฎีกายอมรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ผู้เสียหายที่ 1 ว่า พบเยื่อพรหมจารีฉีกขาด ดังนี้แสดงว่าอวัยวะเพศของจำเลยได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ส่วนจำเลยจะสำเร็จความใคร่หรือไม่ย่อมมิใช่สาระสำคัญ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน"
พิพากษายืน