ได้ความว่า เดิมนายต่านสามีโจทก์กับนายเล็ก จำเลยได้ร่วมกันทำหนังสือสัญญากู้เงินของนายนามไป 2,500 บาท แล้วผิดนัดนายต่านวายชนม์ นายนามจึงฟ้อง โจทก์ผู้เป็นภรรยาและรับมรดกนายต่านกับนายเล็ก จำเลย ให้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์และนายเล็กจำเลยขาดนัด ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี พิพากษาให้โจทก์และนายเล็กจำเลยร่วมกันรับผิดชอบใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้นายนาม คดีถึงที่สุดโจทก์ผู้เดียวได้ชำระเงินตามคำพิพากษาเป็นเงิน 3,292 บาท 77 สตางค์ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยต่อสู้ว่า ความจริงสามีโจทก์กู้เงินนายนามผู้เดียวจำเลยเป็นแต่ผู้ค้ำประกันแต่ขณะลงชื่อในสัญญานายนามขอให้จำเลยลงชื่อในช่องผู้กู้ จำเลยเห็นเป็นเรื่องระหว่างพี่น้องกันจึงลงชื่อให้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 1,646 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายเล็กจำเลยจะปฏิเสธไม่ร่วมกับนางรอดโจทก์ชำระหนี้ให้นายนามนั้นไม่ได้ เพราะคำพิพากษาศาลจังหวัดสุพรรณบุรีในคดีเดิมไว้เช่นนั้น แต่ในคดีนั้นมิได้มีประเด็นพิพาทกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าความจริงจำเลยได้เป็นผู้กู้หนี้ร่วมกับนายต่านหรือไม่ นายต่านหรือจำเลยจึงอาจนำสืบถึงความเท็จจริงในระหว่างกันเองต่อไปได้ว่า หนี้รายนี้นายต่านผู้เดียวเป็นผู้กู้จำเลยเป็นแต่เพียงค้ำประกัน หาได้มีส่วนได้ในเงินกู้ร่วมกับนายต่านด้วยไม่ และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยต่อสู้มาจึงวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้เป็นลูกหนี้ร่วมกับนายต่าน โจทก์จะไล่เบี้ยเอาจากจำเลยไม่ได้ จึงพิพากษายืน