คดีสามสำนวนนี้โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดกลาง ให้ขับไล่จำเลยอย่าให้มาเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสามต่างให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของตน เฉพาะนางทิมจำเลยฟ้องแย้งว่าได้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาล หากจะต้องตกไปเป็นของโจทก์ ๆ ต้องรับใช้ราคาที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงทั้งแปลงเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดกลาง ให้ขับไล่จำเลยและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปกับให้ยกฟ้องแย้งของนางทิมเสีย
จำเลยทั้ง 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าที่พิพาทหมาย 1,2,3 ในแผนที่กลางเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดกลาง นอกจากนี้ยืน
จำเลยทั้ง 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่านางทิม ศรีธัญรัตน์ จำเลยยกข้อกฎหมายขึ้นฎีกาว่าตนซื้อที่พิพาทตอนหมายเลข 1 มา โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล แม้ที่นี้จะเป็นที่ของวัดจำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ตาม มาตรา 1332 ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 1332 ใช้บังคับได้แต่เฉพาะทรัพย์สินธรรมดา สำหรับที่วัดและที่ธรณีสงฆ์นั้นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 41 บัญญัติว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ ที่สองประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 106 ซึ่งไม่อาจจะโอนกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เว้นแต่จะมีพระราชบัญญัติ ให้อำนาจไว้เป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้แม้จำเลยได้ซื้อที่พิพาทหมายเลข 1 ไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจำเลยก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตอนนี้อยู่นั่นเอง และโจทก์ก็ไม่มีหน้าที่คืนหรือชดใช้ราคาให้แก่นางทิมจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ขาย กรณีไม่เข้ามาตรา 1332
นางทุมมาฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บอกว่าวัดสร้างมาเมื่อใดและได้ที่พิพาทมาอย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่ของวัดแล้ว วัดจะได้ที่นั้นมาโดยเหตุใดและเมื่อใดก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะเมื่อเป็นที่ของวัดแล้วผู้ใดจะแย่งกรรมสิทธิ์ที่นั้นไปจากวัดไม่ได้ กรรมสิทธิ์จะโอนไปจากวัดได้แต่โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วข้างต้น จำเลยมีทางได้ที่นี้แต่โดยพิสูจน์ว่าเป็นที่ของจำเลยไม่ใช่ที่ของวัดเท่านั้น อีกประการหนึ่งในฟ้องของโจทก์ก็ได้ระบุไว้แล้วว่าที่พิพาทเป็นของวัด จึงไม่มีทางที่จำเลยจะผิดหลงในการต่อสู้คดี ทั้งในการพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความขัดข้องในการต่อสู้คดีเนื่องจากฟ้องโจทก์มีข้อความไม่ชัดเจนแต่ประการใด
นางทุมมาฎีกาว่าเจ้าอาวาสวัดกลางแต่องค์เดียวไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนวัดได้ ข้อนี้ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยโดยคำพิพากษาฎีกาที่ 823, 824, 825 พ.ศ. 2496 แล้วว่าเจ้าอาวาสแห่งวัดอาจมอบอำนาจให้บุคคลดำเนินคดีแทนวัดได้
นางทุมมาฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของเจ้าอาวาสไม่สมบูรณ์ ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าการมอบอำนาจก็คือการให้ตัวแทนมีอำนาจทำการแทนตัวการนั่นเอง การแต่งตั้งตัวแทนนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 วรรค 2 บัญญัติว่าจะแต่งตั้งโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ได้เพราะฉะนั้นในบางกรณีแม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือเลยก็อาจตั้งตัวแทนได้ มาตรา 798 เป็นแต่บัญญัติว่ากิจการใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือ กิจการใด กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย การที่ว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือในมาตรานี้ย่อมหมายความถึงหนังสือหรือหลักฐานอันมีลายมือชื่อของผู้เป็นตัวการซึ่งเป็นผู้ทำการแต่งตั้งนั้น ตามหลักทั่วไปที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 9 สำหรับตัวแทนไม่มีกฎหมายใดบังคับว่าจะต้องลงนามในหนังสือแต่งตั้งหรือมอบอำนาจนั้นด้วย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าใบมอบอำนาจเลื่อยลอยไม่ได้ระบุให้ฟ้องขับไล่ผู้ใดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างนั้นจำเลยเพิ่งยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาจึงต้องห้ามไม่จำต้องพิจารณา
จึงพิพากษายืน