โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 341
ให้จำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ 743,140 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (ที่ถูก มาตรา 341
(เดิม)) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 2 ปี กับให้จำเลยคืนเงิน 743,140 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลจังหวัดมหาสารคามพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย
2 ปี แต่มีผู้พิพากษาลงนามเพียงคนเดียว
จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (5)
โดยผู้พิพากษาคนเดียวจะพิพากษาลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบตามบทกฎหมายดังกล่าว และมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4
ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ แม้ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลล่าง
แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นฎีกาได้ในชั้นฎีกา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520
มาตรา 3 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ต่อไป