โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์และมอบโฉนดที่ดินเนื้อที่ ๕ ไร่ ๒ งาน ๘ วา มีชื่อนายไซสามีจำเลยกับจำเลยให้ยึดถือไว้ และแบ่งนารายนี้มีเนื้อที่ ๖ ไร่ ๒ งานให้ทำต่างดอกเบี้ย ครั้นต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือกู้ใหม่ ขอกู้ต่อไปอีก ๒ เดือน ถ้า ๒ เดือนไม่นำเงินมาชำระให้ ยอมยกที่ดิน ๖ ไร่ ๒ งานให้เป็นสิทธิ ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระเงิน จำเลยบิดพริ้วไม่ยอมโอนแก้ทะเบียนที่ดิน จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งแยกที่โฉนดให้โจทก์ เนื้อที่ ๖ ไร่ ๒ งาน หรือแสดงว่า ที่นาส่วนนั้นเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าไม่ยอมตกลงยกที่ให้โจทก์ แม้ตกลงเช่นนั้น ก็ใช้ไม่ได้ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๑๓,๑๒๙๙ วันพิจารณาโจทก์ส่งสัญญาฉะบับหลัง จำเลยยอมรับว่าสัญญากู้ฉะบับนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริง ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่สืบพะยานต่อไป ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อความในสัญญากู้เป็นคำมั่นจะซื้อขาย ย่อมมีผลเป็นการซื้อขาย พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความในสัญญาข้อ ๒ มีความว่า "ในจำนวนเงินซึ่งข้าพเจ้าได้กู้หนี้ไปนี้ข้าพเจ้าได้นำที่ดินยกให้ เนื้อที่ดินประมาณ ๖ ไร่ ๒ งาน ถ้า ๒ เดือนไม่นำเงินมาให้เป็นอันว่า ที่ดินที่กล่าวข้างบนนี้ขาดกัน ให้ท่านยึดไว้เป็นประกันด้วย" ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญานี้เป็นสัญญากู้เงิน แต่ผู้กู้ได้มอบที่ดินให้ไว้เป็นประกัน และมีเงื่อนไขว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายใน ๒ เดือน ยอมให้ที่ดินนั้นขาดกัน ตามเงื่อนไขตอนหลังนี้ เป็นลักษณะแห่งการเอาทรัพย์สินเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืม ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๖๕๖ ข้อสัญญาย่อมเป็นโมฆะตามมาตรา ๖๕๖ วรรค ๓ ส่วนที่ะให้แปลว่า เมื่อถึง ๒ เดือนแล้ว ยังไม่ชำระหนี้ ผู้กู้จะโอนที่ดินให้เป็นการชำระหนี้เงินกู้แทนตัวเงินนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นเจตนาของคู่กรณีว่าได้ตกลงให้มีความหมายเช่นนั้น ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.