โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 165,719.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 159,730 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับตราส่งได้รับสินค้าโดยไม่อิดเอื้อนหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีพยานที่รู้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงมาเบิกความประกอบภาพถ่าย ซึ่งเป็นภาพถ่ายสินค้ารวม 11 ภาพ ตั้งแต่ยังอยู่บนรถบรรทุก จนถึงเมื่อมีการขนถ่ายลงมาแล้ว และมีจำนวน 10 ภาพ จากทั้งหมด 11 ภาพ ที่แสดงให้เห็นถึงสภาพกล่องที่เปียกน้ำ เปื่อย บุบยุบ ฉีกขาด และที่ไม่ได้รองอยู่บนฐานรอง จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่เป็นเพียงพยานที่ได้รับคำบอกเล่าและมาเบิกความลอย ๆ โดยขาดพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยส่งมอบสินค้านั้นผู้เอาประกันภัยได้พบเห็นในเบื้องต้นว่าสินค้าน่าจะได้รับความเสียหาย แต่ยังไม่มีเวลาและโอกาสที่จะตรวจสอบโดยละเอียดจึงได้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ขณะที่ยังไม่ขนถ่ายสินค้าลงจากรถที่ขนส่งสินค้าพิพาท โดยที่พนักงานขับรถของจำเลยเองก็ทราบดีถึงการถ่ายภาพเก็บหลักฐานของผู้เอาประกันภัย เพราะทางนำสืบของจำเลยก็ยอมรับว่ารถที่ขนสินค้าได้จอดรอการขนถ่ายสินค้านานกว่าครึ่งวัน เชื่อว่า ขณะส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้เอาประกันภัย สินค้าพิพาทมีสภาพดังที่ปรากฏในภาพถ่าย คือ มีสภาพกล่องที่เปียกน้ำ เปื่อย บุบยุบ ฉีกขาด และบางส่วนไม่ได้วางอยู่บนฐานรอง ซึ่งกล่องที่ไม่ได้วางอยู่บนฐานรองนี้แตกต่างจากสภาพสินค้าขณะที่จำเลยรับมอบไว้จากผู้ส่งตามใบตราส่งซึ่งระบุว่าสินค้าพิพาทมี 167 กล่อง วางอยู่บนฐานรองรวม 12 ฐาน และเชื่อว่าขณะที่พนักงานของผู้เอาประกันภัยได้ถ่ายภาพเพื่อเก็บหลักฐานความเสียหายที่ปรากฏในเบื้องต้นนั้น ได้มีการแสดงออกถึงการที่ยังไม่ยอมรับว่าสินค้าที่จำเลยส่งมอบอยู่ในสภาพเรียบร้อยให้พนักงานขับรถและส่งของของจำเลยได้ทราบแล้ว แม้พนักงานของผู้เอาประกันภัยจะลงลายมือชื่อรับสินค้านั้นไว้ก็เพราะปรากฏในเบื้องต้นว่าสินค้าส่งมาครบถ้วนเท่าจำนวนกล่องที่ระบุไว้ในใบตราส่งเท่านั้น จะถือว่าผู้เอาประกันภัยรับเอาสินค้านั้นไว้โดยไม่อิดเอื้อนไม่ได้ จำเลยจึงยังไม่หลุดพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 623 วรรคแรก ส่วนการอ้างประโยชน์ตามมาตรา 623 วรรคสอง ในกรณีความชำรุดบกพร่องมิได้ปรากฏแต่สภาพภายนอกซึ่งเจ้าของสินค้าต้องบอกกล่าวภายใน 8 วัน นับแต่วันรับมอบนั้น เห็นว่า กรณีตามมาตรา 623 วรรคสอง นั้น ต้องปรากฏว่ามีการรับของโดยไม่อิดเอื้อนและมีการจ่ายค่าระวางพาหนะแล้ว ตามมาตรา 623 วรรคแรกด้วย ความรับผิดของจำเลยจึงจะสิ้นสุดลง เมื่อข้อเท็จจริงถือไม่ได้ว่าผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับตราส่งได้รับของไว้โดยไม่อิดเอื้อนแล้ว แม้ผู้รับตราส่งจะมิได้แจ้งเกี่ยวกับความเสียหายให้จำเลยทราบภายใน 8 วัน ก็ตาม ความรับผิดของจำเลยก็ยังไม่สิ้นสุดลง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเห็นว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายตามฟ้องต่อโจทก์ เพราะผู้เอาประกันภัยมิได้บอกกล่าวความบุบสลายแก่จำเลยภายใน 8 วัน ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่า สินค้าพิพาทได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งหรือไม่ ถึงแม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ แต่ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน เห็นว่า เมื่อตามใบตราส่งที่จำเลยออกไว้เป็นหลักฐานแห่งสัญญาขนส่งและการรับของได้ระบุไว้โดยไม่มีข้อสงวนใด ๆ ว่า สินค้าที่ตกลงรับขนจากรัฐเซลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังโรงงานของผู้เอาประกันภัยที่จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 167 กล่อง วางอยู่บนฐานรอง 12 ฐาน อยู่ในสภาพเรียบร้อย แต่ครั้นส่งสินค้าถึงโรงงานของผู้เอาประกันภัย ข้อเท็จจริงดังวินิจฉัยไว้แล้วฟังได้ว่ากล่องสินค้าบางส่วนอยู่ในสภาพเปียกน้ำ เปื่อย บุบยุบ ฉีกขาด และไม่ได้วางอยู่บนฐานรอง พยานจำเลยคงมีเพียงนางชณิดากล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ระหว่างการขนส่งสินค้าไม่มีฝนตก และมีการคลุมผ้าใบอย่างหนาได้มาตรฐานแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่า สินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า ผู้เอาประกันภัยได้รับความเสียหายเพียงใด เห็นว่า ตามรายงานการสำรวจความเสียหายประกอบภาพถ่ายระบุว่า สินค้าได้รับความเสียหาย 1,920 ชิ้น โดยเสียหายจากการเปียกน้ำ 1,917 ชิ้น แตกหัก 3 ชิ้น เป็นความเสียหายในลักษณะที่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ แต่สินค้าเปียกน้ำซึ่งตามรายงานการสำรวจความเสียหายอ้างว่าเสียหายโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมีร่องรอยการออกซิเดชัน (สนิม) นั้น เห็นว่า ตามรายงานการสำรวจความเสียหายระบุว่า เป็นสินค้าซึ่งผลิตจากเหล็กหล่อ แตกต่างกับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและบันทึกถ้อยคำของนางสาวจิดาภาผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ ที่ระบุว่าสินค้าพิพาทเป็นแผ่นอลูมิเนียม จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าสินค้าที่เปียกน้ำเสียหายโดยสิ้นเชิง เมื่อโจทก์นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายไม่ได้แน่ชัด จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้เป็นเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 เดือน และนับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 5,000 บาท.