โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 334, 335 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 462,887 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา บริษัทธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก รวม 38 กระทง และมาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง รวม 16 กระทง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุกกระทงละ 1 ปี ปรับกระทงละ 5,000 บาท ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุกกระทงละ 1 ปี ปรับกระทงละ 6,000 บาท รวมลงโทษจำเลยทั้งสอง จำคุกคนละ 54 ปี ปรับคนละ 286,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 27 ปี ปรับคนละ 143,000 บาท ทั้งนี้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองมีกำหนดคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด และให้ร่วมกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 462,887 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วมนั้น โจทก์ร่วมแถลงว่าได้รับเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยทั้งสองแล้ว ให้ยกคำขอในส่วนนี้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองโดยไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับและไม่คุมความประพฤติ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องการกระทำความผิดของจำเลยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเงินของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ร่วม โดยใช้บัตรเอทีเอ็มเบิกถอนเงินของโจทก์ร่วมไปจากเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ รวม 54 ครั้ง คิดเป็นเงิน 908,900 บาท เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่า บัตรเอทีเอ็มที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เบิกถอนเงินไปนั้น เป็นของบุคคลอื่น ก็ต้องฟังว่าเป็นบัตรเอทีเอ็มของจำเลยคนใดคนหนึ่งหรือเป็นของจำเลยทั้งสองเอง และยังต้องรับฟังต่อไปอีกว่า สาเหตุที่จำเลยทั้งสองสามารถใช้บัตรเอทีเอ็มดังกล่าวเบิกถอนเงินออกไปได้นั้น เป็นเพราะมีเงินตามจำนวนที่จำเลยทั้งสองร่วมเบิกถอนโอนเข้าบัญชีของจำเลยทั้งสองโดยการผิดพลาดเพราะมิฉะนั้นแล้วจำเลยทั้งสองย่อมไม่สามารถใช้บัตรเอทีเอ็มของจำเลยเบิกถอนออกไปได้ ข้อเท็จจริงตามฟ้องตามที่โจทก์ได้บรรยายมาดังกล่าวนี้ย่อมถือได้ว่าเงินจำนวนที่จำเลยทั้งสองร่วมเบิกถอนไปนั้น ได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองเพราะโจทก์ร่วมส่งมอบให้โดยสำคัญผิด การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้บัตรเอทีเอ็มเบิกถอนไปนั้น จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง หาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องและมิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและลงโทษจำเลยทั้งสองให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เมื่อศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองใหม่แล้ว ก็ต้องกำหนดโทษจำเลยทั้งสองเสียใหม่ให้เหมาะสมกับความผิดด้วย...
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้จำคุกคนละกระทงละ 1 ปี ปรับคนละกระทงละ 2,000 บาท รวม 54 กระทง เป็นจำคุกคนละ 54 ปี ปรับคนละ 108,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกคนละ 27 ปี ปรับคนละ 54,000 บาท ทั้งนี้ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองมีกำหนดคนละ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (1) โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 คุมความประพฤติจำเลยทั้งสองในระหว่างรอการลงโทษ โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติตามเงื่อนไขที่พนักงานคุมประพฤติกำหนดปีละ 2 ครั้ง ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาลักทรัพย์ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1.