โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนใช้อาวุธปืนยิงนายบุญทัน คำมี หลายนัดเป็นเหตุให้นายบุญทัน คำมีถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 32, 33, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6, 7 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสองให้ลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิด ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ให้ประหารชีวิต พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 72 วรรคแรก จำคุก 3 ปี มาตรา 72 ทวิ วรรคสองจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)จำคุกตลอดชีวิต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 72 วรรคแรก จำคุก 2 ปี มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 2 ปีเมื่อรวมทุกกระทงความผิดแล้วให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 18 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 7, 72 วรรคหนึ่งให้จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง จำคุก 6 เดือนรวมแล้วจำคุกจำเลย 19 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นจับกุมเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 13 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสายพานหรือสมพาน กระจ่างคุณ ภริยาผู้ตายเอกสารหมาย ป.จ.6 ว่า ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 18 นาฬิกานางสายพานทะเลาะกับผู้ตายที่กระท่อมนาผู้ตายเมาสุราได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ 1 นัด นางสายพานจึงหนีมาที่บ้านนางสนมมารดาพบจำเลยซึ่งเป็นพี่ชายและนางสนมอยู่ด้วยกัน นางสายพานเล่าเรื่องที่ทะเลาะกับผู้ตายและผู้ตายยิงปืนขู่ให้คนทั้งสองฟัง แล้วขอร้องให้จำเลยไปเอากระบือที่ห้างนามาไว้ที่บ้านเพราะไม่มีคนเฝ้า จำเลยบอกว่าจะไปเอากระบือเองแล้วจำเลยคว้าอาวุธปืนลูกซองยาวเดินลงจากบ้านไป อีกประมาณ 15 นาทีต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้น เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าตัวจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองผู้ตายมาก่อน ที่นางสายพานมาบอกว่าทะเลาะกับผู้ตายและผู้ตายได้ยิงปืนขู่นั้น ผู้ตายก็ไม่ได้ทำร้ายนางสายพานแต่อย่างใดไม่น่าจะเป็นเหตุถึงกับทำให้จำเลยต้องการฆ่าผู้ตายในขณะนั้น และยังปรากฏว่านางสายพานให้จำเลยไปเอากระบือที่ห้างนามาไว้ที่บ้านด้วย การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนไปด้วย อาจเพราะเป็นเวลามืดค่ำแล้ว จำเลยอาจเอาไปเพื่อป้องกันตัวก็ได้ นอกจากนั้นยังปรากฏจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลย เอกสารหมายป.จ.4 อีกว่า ก่อนที่จำเลยจะยิงผู้ตายยังได้มีการพูดจาทักทายกันก่อนแล้วจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย หาได้ยิงในทันทีที่พบผู้ตายไม่ เช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยคิดฆ่าผู้ตายมาแต่ต้น การกระทำผิดของจำเลยไม่เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)..."
พิพากษายืน.