โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของบิดามารดาโจทก์และนางเปรย นางเปรยจำเลย ต่อมาบิดามารดาโจทก์ตาย โจทก์กับนางเปรยนางเปราะได้ครอบครอบที่ดินเป็นส่วน ๆ แต่โฉนดไม่ได้แบ่งแยก ภายหลังนางเปรยนางเปราะประกาศรับมรดกจากบิดามารดาโจทก์ โดยโจทก์ไม่ทราบ พอทราบก็ได้ให้นางเปรย นางเปราะทำหนังสือสัญญาแบ่งที่ดินส่วนที่โจทก์เคยครอบครองให้แก่โจทก์ ครั้นต่อมานางเปรย นางเปราะกับนางสอนางชั้นจำเลยสมคบกันโอนขายที่นี้ทั้งแปลงให้นางสอนางชั้น โดยไม่สุจริต และไม่มีค่าตอบแทน จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมเพื่อให้มีส่วนของโจทก์กลับเป็นของโจทก์
นายเปรย นางเปราะต่อสู้กรรมสิทธิ และว่าสัญญาแบ่งที่ให้โจทก์ทำขึ้นเพราะโจทก์ข่มขู่จำเลย ขอบอกล้างโมฆียะกรรานั้นเสีย การซื้อขายจำเลยทั้ง ๔ ว่าเป็นการสุจริต
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาท นางเปรย นางเปราะได้มาโดยทางพินัยกรรม และสัญญาแบ่งที่ให้โจทก์ ก็ทำขึ้นเพราะโจทก์ข่มขู่เมื่อจำเลยบอกล้างแล้ว จะบังคับตามสัญญานี้ไม่ได้ ที่ยังเป็นของนางเปรยนางเปราะอยู่ การโอนจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่เกี่ยวกับโจทก์ ๆ จะขอให้เพิกถอนไม่ได้
จึงพิพากษายืน