โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตรารูปสิงห์ของเจ้าพนักงานที่ดินกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย จำนวน 1 อัน และจำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งโฉนดที่ดินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นจำนวน 1 ฉบับ โดยจำเลยนำแบบฟอร์มโฉนดที่ดินของกรมที่ดินที่ออกใช้กับประชาชนทั่วไปมากรอกข้อความว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 12101 ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยจำเลยซื้อต่อจากนางดี วรรณศรี และจำเลยได้ประทับดวงตรารูปสิงห์ของเจ้าพนักงานที่ดินที่จำเลยปลอมขึ้นลงบนโฉนดที่ดินที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าว ซึ่งความจริงโฉนดที่ดินเลขที่ดังกล่าวนั้นกรมที่ดินได้ออกให้นายช่วย วิเศษสิงห์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และปัจจุบันมีจ่าสิบเอกสมพงษ์ สกุลดิษฐและนางสำเภา สกุลดิษฐ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม จำเลยกระทำการดังกล่าวเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่พบเห็นหลงเชื่อว่าโฉนดที่ดินที่จำเลยทำปลอมขึ้นเป็นโฉนดที่ดินที่แท้จริงที่กรมที่ดินออกให้ใช้และปัจจุบันมีจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จ่าสิบเอกสมพงษ์และนางสำเภา สกุลดิษฐ นายสุบิน นุชบูรณ์ เจ้าหนี้เงินกู้ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ผู้อื่นและประชาชน ภายหลังจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว ต่อมาประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2540 เวลากลางวัน จำเลยได้นำโฉนดที่ดินฉบับที่จำเลยทำปลอมขึ้นโดยมีรอยดวงตรารูปสิงห์ของเจ้าพนักงานที่จำเลยทำปลอมขึ้นประทับลงบนโฉนดที่ดินปลอมไปอ้างใช้แสดงต่อนายสุบินและนายสมพงษ์ สุทธิจิตร์ โดยจำเลยนำโฉนดที่ดินปลอมดังกล่าวไปมอบให้นายสุบินยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ไปจากนายสุบินจำนวน 60,000 บาท ซึ่งนายสุบินและนายสมพงษ์ไม่ทราบมาก่อนว่าโฉนดดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุบิน นายสมพงษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรี กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ผู้อื่นหรือประชาชน เหตุเกิดที่ตำบลยุ้งทะลาย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 251, 252, 264, 266 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) จำคุก 3 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ไม่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้นำโฉนดที่ดินปลอมไปอ้างใช้แสดงต่อนายสุบิน นุชบูรณ์ ผู้เสียหาย และนายสมพงษ์ สุทธิจิตร์ โดยให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ไปจากผู้เสียหาย ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุบิน นายสมพงษ์ ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษมาในคำฟ้องแล้ว แต่คำขอท้ายฟ้องโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาเฉพาะมาตรา 264 และมาตรา 266 มิได้ระบุมาตรา 268 มาด้วย จะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 หาได้ไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) ที่โจทก์อ้างว่าบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266 เป็นความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารและมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันกับมาตรา 268 จึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 ได้นั้น เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 บัญญัติว่า ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ก็ตาม แต่ก็ถือไม่ได้ว่าความผิดตามมาตรา 268 เป็นความผิดฐานเดียวกันกับความผิดมาตราอื่น ๆ ข้างต้น จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ไม่ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการไม่ระบุมาตรา 268 เกิดจากการพิมพ์ผิดพลาดหรือตกหล่นซึ่งเป็นรายละเอียดมิใช่ข้อสำคัญ ทั้งจำเลยไม่หลงต่อสู้และนำสืบปฏิเสธไว้แล้วก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุที่ทำให้ฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้อง แต่โฉนดที่ดินของกลางฟังเป็นยุติว่าเป็นเอกสารปลอมและจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด จึงเห็นสมควรให้ริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบโฉนดปลอมของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7