โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,822,844.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,360,177.27 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,390,186.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 28 มกราคม 2542) ต้องไม่เกิน 462,667.04 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,625,593.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,261,017.42 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 28 มกราคม 2542) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน 10,000 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 19,483.50 บาท และค่าธรรมเนียมใช้แทน 11,408.50 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2540 โจทก์สั่งซื้อสินค้าจากจำเลยคือลิ้นกันไฟ ตัวปรับลม ตัวปรับลมพร้อมมอเตอร์ และตัวระบายลมรวมเป็นเงิน 2,407,500 บาท ซึ่งรวมค่าสินค้าค่าขนส่งทางเรือ ค่าภาษีศุลกากรขาเข้าและกำไรของจำเลยแล้ว จำเลยสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวจากบริษัทผู้ผลิตคือบริษัทรัสกิน แมนิวแฟกจูริง จำกัด ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อนำไปส่งให้โจทก์ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม ถนนเพลินจิต กรุงเทพมหานคร ตามใบสั่งซื้อ และเงื่อนไขการสั่งซื้อ ต่อมาวันที่ 16 มิถุนายน 2540 จำเลยมีหนังสือขอให้โจทก์เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับบริษัทผู้ผลิตโดยอ้างว่าจำเลยไม่สามารถขอวงเงินในการออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารได้ โดยจำเลยจะชำระคืนเงินค่าใช้จ่ายในการเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิต และค่าบริการของผู้รับออกสินค้าให้โจทก์ วันที่ 20 มิถุนายน 2540 โจทก์ขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ จำนวนเงิน 68,292.20 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ บริษัทผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว โจทก์ได้รับมอบสินค้าในวันที่ 8 และวันที่ 15 สิงหาคม 2540 โจทก์มีค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับสินค้ารวมเป็นเงิน 4,767,677.27 บาท เมื่อหักเงินค่าสินค้าตามใบสั่งซื้อจำนวน 2,407,500 บาท แล้วคงเหลือเงินที่โจทก์จ่ายไปและเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เป็นเงิน 2,360,177.27 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกบริษัทรัสกิน (ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นตัวแทนบริษัทดังกล่าวหากจำเลยแพ้คดีแล้วจำเลยอาจฟ้องบังคับคดีเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยเรียกค่าทดแทนจากบริษัทรัสกิน แมนิวแฟกจูริง จำกัด ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวการได้ เห็นว่า บริษัทรัสกิน (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทยเมื่อปี 2542 อันเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายสินค้าพิพาท คู่สัญญาคงมีแต่โจทก์และจำเลย ดังนั้น บริษัทรัสกิน (ประเทศไทย) จำกัด จึงมิได้เกี่ยวข้องกับจำเลย บริษัทรัสกิน แมนิวแฟกจูริง จำกัด ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตั้งจำเลยเป็นตัวแทนตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2542 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเกิดเหตุพิพาทตามสัญญาซื้อขายคดีนี้ ฉะนั้น จำเลยจึงไม่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเรียกค่าทดแทนจากบริษัทรัสกิน (ประเทศไทย) จำกัดได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 20,000 บาท แทนโจทก์