คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากบ้านพิพาทเลขที่ 1104 ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30,000บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจึงอนุญาตให้ทำการพิจารณาคดีนี้ใหม่ จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้ว่า บ้านพิพาทซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 30224 ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์และจำเลย และจำเลยเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2542 ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่ดินและบ้านพิพาทตามฟ้องคนหนึ่ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องสอดเป็นบริวารจำเลยหรือพักอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทที่โจทก์ฟ้องขับไล่ ทั้งคดีไม่มีประเด็นให้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งทรัพย์มรดก กรณีตามคำร้องไม่อาจถือได้ว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของผู้ร้องสอด สำเนาให้โจทก์และจำเลยแก้ การส่งไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด และให้ผู้ร้องสอดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ ผู้ร้องสอดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้เฉพาะโจทก์และโจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาภายในกำหนดแล้ว ส่วนจำเลยนั้นปรากฏว่าผู้ร้องสอดมิได้มานำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 28เมษายน 2543 ศาลชั้นต้นจึงให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 1เพื่อพิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องสอดเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246ให้จำหน่ายคดี (ของผู้ร้องสอด) ออกจากสารบบความ
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ในชั้นนี้คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดเพียงว่า กรณีมีเหตุสมควรที่จะให้ดำเนินคดีของผู้ร้องสอดต่อไปโดยไม่จำหน่ายคดีของผู้ร้องสอดออกจากสารบบความหรือไม่ เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลย ก็เพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสยื่นคำแก้อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดเท่านั้น แต่ปรากฏว่าคดีนี้ทนายผู้ร้องสอดผู้ยื่นอุทธรณ์และทนายจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันมีผลเท่ากับว่าทนายจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า ผู้ร้องสอดได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นมาแต่ต้นและจำเลยอาจยื่นคำแก้อุทธรณ์ได้อยู่แล้ว โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องสั่งให้ผู้ร้องสอดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้อีกและชอบที่จะสั่งให้ทนายจำเลยซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวกับทนายผู้ร้องสอดยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดได้เลยเมื่อปรากฏว่าคดีนี้ผู้ร้องสอดได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์และโจทก์ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์เข้ามาแล้ว ทั้งทนายจำเลยก็ได้แถลงต่อศาลว่าจำเลยไม่ติดใจยื่นคำแก้อุทธรณ์ แม้จะเป็นการแถลงเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ผู้ร้องสอดจะต้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้แล้วก็ตาม ตามพฤติการณ์ศาลฎีกาก็เห็นเป็นการสมควรที่จะให้ดำเนินคดีของผู้ร้องสอดต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของผู้ร้องสอดเสียจากสารบบความมานั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังขึ้น"
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 และให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ร้องสอดแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่