โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของพันเอกพลรับชำระเงิน 175,000 บาท จากโจทก์ และให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ให้แก่โจทก์ พร้อมส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวคืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาล แทนการแสดงเจตนา และให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เป็นสิทธิครอบครองแก่กองมรดกของพันเอกพล และให้จำเลยมีสิทธินำคำพิพากษาของศาลไปจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นสิทธิครอบครองของจำเลยแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งส่วนฟ้องและส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า สิทธิการครอบครองที่ดินพิพาท ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เป็นมรดกของพันเอกพล นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้โดยคู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายยอม ส่วนจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของพันเอกพล ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ ต่อมาทางราชการออกเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ นายยอมทำหนังสือสัญญาจำนองและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้ไว้แก่พันเอกพลเป็นเงิน 100,000 บาท ต่อมาโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวขอไถ่ถอนจำนองไปยังจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของพันเอกพล
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือสัญญาการซื้อขาย ปรากฏว่าลายมือชื่อของนายยอมมีลักษณะคล้ายคลึงกัน น่าเชื่อว่ามีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจริง หนังสือสัญญาการซื้อขาย ข้อที่ 3 ระบุว่า ผู้ขายยินยอมให้ผู้ซื้อเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้ได้ สื่อความหมายได้ว่านายยอมได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้แก่พันเอกพลเข้าทำประโยชน์เพื่อทำการเกษตรแล้ว หาใช่ไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาท นอกจากนี้เมื่อพิจารณาภาพถ่ายทางอากาศที่ดินพิพาท ปรากฏชัดว่ามีการปรับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2519 ก่อนมีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท โดยที่ดินพิพาทในปี 2537 มีลักษณะเป็นการทำไร่เกือบทั้งแปลงโดยมีการปลูกสับปะรดในที่ดินพิพาท และจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด อีกทั้งหนังสือสัญญาจำนองที่ดินระบุให้ผู้จำนองนำส่งดอกเบี้ยปีละครั้งเสมอไป แต่ไม่ปรากฏว่านายยอมหรือโจทก์ส่งดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองให้แก่พันเอกพล ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า นายยอมตกลงขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้พันเอกพลเมื่อปี 2519 ต่อมาปี 2520 เมื่อมีการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่เนื่องจากติดข้อกำหนดที่ห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายใน 10 ปี ตามมาตรา 58 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน นายยอมและพันเอกพลจึงทำสัญญาจำนองโดยไม่มีการกู้ยืมเงินจริง แต่ทำเพื่ออำพรางสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่ยังไม่อาจโอนสิทธิในที่ดินได้ เพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ สัญญาจำนองจึงเป็นนิติกรรมอำพรางตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 เมื่อสัญญาจำนองเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อมาว่า สิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นมรดกของพันเอกพลตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า หนังสือสัญญาการซื้อขายระบุเงื่อนไขว่าผู้ซื้อจะชำระเงินส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเมื่อครบ 45 วัน หลังจากออกหลักฐานได้แล้ว แสดงให้เห็นถึงเจตนาของนายยอมและพันเอกพลที่จะให้สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดประกอบกับพันเอกพล ซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวหลายแปลง แปลงที่มีข้อบังคับห้ามโอนก็จะใช้วิธีจดจำนองที่ดินดังกล่าวไว้ หากพ้นระยะเวลาการห้ามโอนแล้วพันเอกพลจึงติดตามผู้ขายมาดำเนินการโอนทะเบียนให้ภายหลัง แสดงให้เห็นว่าขณะทำหนังสือสัญญาการซื้อขาย พันเอกพลรู้ถึงข้อกำหนดห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายในสิบปีนับแต่วันที่ได้รับเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ การทำสัญญาการซื้อขายที่ดินพิพาทจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามกฎหมาย เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 ดังนั้น การที่นายยอม ทำสัญญาการซื้อขายและมอบให้พันเอกพลครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท พันเอกพลก็หาได้สิทธิครอบครองตามกฎหมายไม่เพราะอยู่ในกำหนดห้ามโอนตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นระยะเวลาห้ามโอนคือวันที่ 24 สิงหาคม 2530 พันเอกพลและทายาทครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างต่อเนื่องและเป็นผู้ชำระภาษีบำรุงท้องที่มาโดยตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2528 ถึง พ.ศ.2559 โดยไม่ปรากฏว่านายยอมหรือทายาทเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่านายยอมหรือทายาทได้สละการครอบครองที่พิพาทให้แก่พันเอกพลแล้วย่อมถือว่าพันเอกพลได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนต่อแต่นั้นมา พันเอกพลย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 โดยไม่จำต้องจดทะเบียนการได้มา แม้โจทก์ล้อมรั้วลวดหนามที่ดินพิพาทหลังจากฟ้องคดีนี้ เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยภายหลังจากฟ้องคดีนี้ มิได้ทำให้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของพันเอกพลซึ่งมีอยู่ก่อนเสียไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่าสิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นมรดกของพันเอกพล ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ