โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา ๘๓, ๒๗๖, ๓๑๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก วรรคสอง, ๓๑๐ วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก ๘ ปี ฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก ๒๐ ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำคุก ๒ ปี รวมจำคุก ๓๐ ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๒๐ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ วางโทษจำคุก ๒๐ ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๑๓ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะที่ผู้เสียหายและนางสาวน้องหรือวันดี ทวีสุข อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุในชุมชนแฟลตกระป๋อง แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร จำเลยมาเรียกให้นางสาวน้องเปิดประตู แล้วฉุดผู้เสียหายพาไปขึ้นรถยนต์ตู้ที่มีนายพายัพ ใจหาญ พวกจำเลยเป็นคนขับจอดรออยู่และขับพาหนีไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างทางจำเลยข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนี แล้วจำเลยกับนายพายัพผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายบนรถยนต์ตู้คนละ ๑ ครั้ง เมื่อถึงจังหวัดเพชรบูรณ์จำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านเพื่อนจำเลย ส่วนนายพายัพขับรถยนต์ตู้กลับกรุงเทพมหานคร ระหว่างนั้นจำเลยทำร้ายและข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนีแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ๑ ครั้ง จากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่บ้านน้าจำเลยที่จังหวัดลพบุรี แต่ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย วันรุ่งขึ้นจำเลยพาผู้เสียหายไปบ้านเพื่อนจำเลยที่จังหวัดเพชรบูรณ์แล้วพากลับไปนอนค้างคืนที่บ้านน้าจำเลยที่จังหวัดลพบุรีอีก ระหว่างนั้นจำเลยถือมีดออกมาขู่และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ๑ ครั้ง วันต่อมาผู้เสียหายพยายามจะหลบหนีจึงถูกจำเลยทำร้าย แล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีก ๑ ครั้ง โดยโจทก์มีนางสาวน้องเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยฉุดผู้เสียหายพาขึ้นรถยนต์ตู้ไปจริง ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน เพียงเห็นหน้ากันไม่นานนัก จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะยินยอม ซึ่งหากผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราดังที่จำเลยฎีกา ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายจะต้องชี้ยืนยันให้ร้อยตำรวจเอกสามารถ พรหมชาติ จับกุมจำเลยทันที และยังให้การด้วยว่าที่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นผู้เสียหายพยายามหลบหนีถึง ๒ ครั้ง แต่ไม่สามารถกระทำได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราและจำเลยไม่ได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายนั้น ก็ขัดกับที่จำเลยเคยให้การไว้ในชั้นจับกุมตามบันทึกการจับกุม และในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนัก พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังกล่าวเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ โดยให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง นั้น ปัญหาว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันฉุดผู้เสียหายพาขึ้นรถยนต์ตู้ไปยังต่างจังหวัดในที่ต่าง ๆ หลายแห่งและหลายวัน โดยวันแรกระหว่างเดินทางจำเลยกับพวกได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงในรถยนต์ตู้คนละ ๑ ครั้ง และระหว่างผู้เสียหายอยู่กับจำเลยที่ต่างจังหวัดตามลำพังจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายอีกหลายครั้ง โดยระหว่างนั้นผู้เสียหายพยายามหลบหนี ๒ ครั้ง ก็ถูกจำเลยทำร้ายและข่มขู่ไม่ให้หลบหนี จนกระทั่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจติดตามช่วยเหลือผู้เสียหายและจับกุมจำเลยได้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง กับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อนและระหว่างที่ถูกฉุดไปนั้นผู้เสียหายพยายามหลบหนีถึง ๒ ครั้ง แต่ก็ถูกจำเลยทำร้ายและข่มขู่บังคับไม่ให้หลบหนี แม้การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปยังต่างจังหวัดในที่ต่าง ๆ หลายแห่งและหลายวัน จะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากความประสงค์เดียวกับการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปยังที่ต่าง ๆ หลายวัน โดยได้ทำร้ายและข่มขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนี นั้น ถือได้ว่าเป็นความผิดอีกระทงหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว หาใช่เป็นกรรมเดียวไม่ ปัญหาดังกล่าวนี้แม้โจทก์จำเลยจะไม่ได้ฎีกา แต่ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือหลายกรรมต่างกัน เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงกรรมหนึ่ง และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังอีกกรรมหนึ่ง แต่โจทก์มิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้อง แต่ไม่อาจกำหนดโทษในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังอีก เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๑๒ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง กับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.