ได้ความว่าเดิมจำเลยได้จำนองที่ดิน ๖ แปลงไว้กับผู้ร้อง  ที่ดินจำนองนี้จำเลยให้บริษัทอิสเอเซียติกเช่า ๔ แปลง  ต่อมาจำเลยถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลาย  ที่ดินนี้ผู้ร้องได้ตกลงกับเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ว่า  ให้จัดการขายโดยตั้งราคาอย่างต่ำ  เท่าจำนวนต้นเงินจำนองแลดอกเบี้ย  ถ้าขายไม่ได้ตามราคากำหนดกให้โอนหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้ร้องแลยกเลิกหนี้สินจำนองต่อกัน  แต่เวลานี้เจ้าพนักงานยังจัดการขายไม่ได้  สัญญาเช่าระวางบริษํทอิสเอเซียติดกับจำเลยก็มาหมดอายุลง  เจ้าพนักงานรักษาทรัพย์จึงทำสัญญาให้บริษํทอิสเอเซียติกเช่าต่อไปค่าเช่าปีละ ๕๐๐๐ บาท ผู้ร้องจึงคัดค้านสัญญาเช่านี้  แลว่าค่าเช่าควรเป็นของผู้ร้อง  จึงมีปัญหาว่าผุ้ร้องจะได้เงินค่าเช่านี้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องจำนงจะบังคับจำนองตาม ม.๗๒๑ การที่ผู้ร้องตกลงกับเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ก็ประสงค์จะได้รับชำระต้นเงินแลดอกเบี้ยทั้งหมด ถ้าไม่มีใครซื้อจึงจะรับโอนที่เอาเสียเอง  แลการที่ผู้ร้องได้ตกลงกับเจ้าพนักงานเช่นนั้นก็หมายความว่าผุ้ร้องต้องการเรียกดอกเบี้ยตลอดไปด้วย  เมื่อผู้ร้องมาเรียกงเนิค่าเช่าด้วยดังนี้  ก็เท่ากับเรียกเอาประโยชน์ ๒ หน  เกินกว่าสิทธิที่ตนมีอยู่ซึ่งเรียกได้หนเดียว  ตามประมวลแพ่ง ม.๗๒๑ แลตามแกติค่าเช่ารายนี้ก็เป็นของจำเลย  เมื่อจำเลยล้มละลายก็ต้องตกแก่เจ้าพนักงานรักษาทรัพย์  ทั้งไม่ปรากฎว่าเจ้าพนักงานได้ตกลงจะจ่ายให้ผุ้ร้อง ๆ จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเอาค่าเช่ารายนี้ได้