โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเป็นตำรวจ มีหน้าที่เป็นกรรมการตรวจรับส่งเงินรายได้ของแผ่นดิน ฯลฯ จำเลยได้รับคำสั่งให้หักเงินเดือนของตำรวจอื่นแล้วจัดการเก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการเพื่อส่งเป็นรายได้แผ่นดิน แต่จำเลยได้เบียดบังเอาเงินดังกล่าวรวม 13 งวดไปเป็นประโยชน์ของจำเลยหรือผู้อื่นโดยทุจริต อันเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้ราชการกรมตำรวจและผู้อื่นได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 147, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ไม่ได้ จำเลยเบียดบังเอาเงินไปคราวเดียวทั้งหมดเป็นความผิดกรรมเดียว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 จำคุก 5 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้วย และว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมมิใช่กรรมเดียว
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แต่การที่จำเลยได้เบียดบังเอาเงินไปแต่ละงวดเป็นความผิดงวดละกรรม หาใช่ผิดกรรมเดียวไม่ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิด 13 กรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก65 ปี
จำเลยฎีกาว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องที่ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเจตนากระทำความผิดหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เพียงว่าการที่จำเลยได้เบียดบังเอาเงินไปแต่ละงวดเป็นความผิดงวดละกรรม หาใช่ผิดกรรมเดียวไม่ ให้ลงโทษในความผิด 13 กรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1997/2521 พนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายวาฮับ ใจธรรม จำเลย
พิพากษายกฎีกาจำเลย