โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์ได้ให้จำเลยที่  ๑  เช่าบ้านของโจทก์มากว่า  ๑๐  ปี  ค่าเช่าเดือนละ  ๗  บาท  ในปัจจุบันจำเลยที่  ๑  เลิกเช่าและอพยพไปอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ส่วนบ้านเช่านี้ปรากฎว่าจำเลยที่  ๒  กับบริวารเข้าไปอยู่โดยปราศจากอำนาจขอให้ศาลขับไล่
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่  ๑  เช่าบ้านโจทก์มา  ๑๐  ปีแล้ว  จำเลยที่  ๑  รับราชการอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  แต่ครอบครัวยังคงอาศัยอยู่บ้านพิพาทนี้  จำเลยที่  ๒  ก็เป็นบุตรจำเลยที่  ๑
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันเป็น  พ.ร.บ.ที่จำกัดสิทธิของผู้ให้เช่า  ศาลจำต้องตีความโดยเคร่งครัด  เรื่องนี้จำเลยย้ายไปรับราชการอยู่มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ๓  ปีแล้ว  คงอยู่ในบ้านรายพิพาทแต่บริวารเท่านั้น  คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์ได้ยินยอมให้บริวารของจำเลยที่ ๑ อยู่อาศัย  จะว่าตัวจำเลยที่  ๑  ได้รับความคุ้มครองตาม  พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า  ฯลฯ  จำเลยที่ ๑  ก็ไปมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นเสียหลายปี  จะว่าบริวารได้รับความคุ้มครอง  คดีก็ไม่มีประเด็นเช่นนั้น  ข้อเท็จจริงรับกันว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่  ๑  และบริวารออกไปจากบ้านรายนี้แล้ว  แต่บริวารจำเลยไม่ยอมออก  เป็นการอยู่โดยละเมิด  โจทก์ฟ้องขับไล่ได้
จึงพิพากษากลับศาลล่างทั้ง  ๒  ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านรายพิพาท  ฯลฯ