โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3, 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาเด็กหญิง น. ผู้เสียหาย โดยนางสาว ส. ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้ร้องที่ 1 และนางสาว ส. ในฐานะส่วนตัว ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินแก่ผู้ร้องทั้งสองเสร็จสิ้น
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิด ค่าเสียหายที่เรียกร้องมานั้นสูงเกินส่วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) ประกอบมาตรา 80, 277 วรรคสาม (เดิม), 277 วรรคสาม, 279 วรรคหนึ่ง (เดิม) และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามฟ้องข้อ 1 (1) จำคุก 1 ปี ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามฟ้องข้อ 1 (2) ถึงข้อ 1 (28) จำคุกกระทงละ 5 ปี 4 เดือน รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 135 ปี 108 เดือน ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวตามฟ้องข้อ 1 (29) ถึงข้อ 1 (37) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม (ที่ถูก ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี 4 เดือน รวม 9 กระทง เป็นจำคุก 45 ปี 36 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวตามฟ้องข้อ 1 (38) ถึงข้อ 1 (60) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 23 กระทง เป็นจำคุก 184 ปี เมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ข้อหาอื่นให้ยก และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชดใช้แก่ผู้ร้องที่ 1 เสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามฟ้องข้อ 1 (2) ถึงข้อ 1 (28) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามฟ้องข้อ 1 (29) ถึงข้อ 1 (37) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เด็กหญิง น. ผู้ร้องที่ 1 เป็นบุตรนางสาว ส. ผู้ร้องที่ 2 กับนาย ร. เกิดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 หลังจากผู้ร้องที่ 2 เลิกร้างกับนาย ร. แล้ว ผู้ร้องที่ 2 มาอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย โดยจำเลยมีบุตรที่เกิดกับนางสาว บ. ภริยาเดิมมาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน 2 คน คือ เด็กหญิง ต. เกิดวันที่ 8 ธันวาคม 2544 และเด็กหญิง ท. เกิดวันที่ 8 พฤศจิกายน 2547 ผู้ร้องที่ 2 กับจำเลยมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กหญิง อ. เกิดวันที่ 16 มกราคม 2552 และเด็กชาย ส. เกิดวันที่ 20 พฤศจิกายน 2554 จำเลยมีฐานะเป็นบิดาเลี้ยงผู้ร้องที่ 1 ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ผู้ร้องที่ 2 พาผู้ร้องที่ 1 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี เพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยเนื่องจากผู้ร้องที่ 1 ถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ และพาผู้ร้องที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลการตรวจพบรอยฉีกขาดเก่าบริเวณเยื่อพรหมจารี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องที่ 1 ถูกกระทำอนาจารและกระทำชำเราอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 5 ปี ผู้ร้องที่ 1 ย่อมจดจำเหตุการณ์สำคัญโดยรวมได้ ซึ่งการที่จำเลยกระทำชำเราแต่ละครั้งก็อาศัยช่วงที่ผู้ร้องที่ 2 ไม่ได้อยู่บ้านหรืออาศัยโอกาสที่จำเลยกับผู้ร้องที่ 1 อยู่กันตามลำพัง และเมื่อผู้ร้องที่ 1 ถึงวัยมีประจำเดือนจำเลยก็ให้ผู้ร้องที่ 1 รับประทานยาคุมกำเนิด หากผู้ร้องที่ 1 ประจำเดือนมาไม่ปกติจำเลยจะซื้อยามาให้รับประทาน คำเบิกความของผู้ร้องที่ 1 จึงสมเหตุผลมีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยพาผู้ร้องที่ 1 หนีไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกันยิ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยต้องเคยกระทำชำเราผู้ร้องที่ 1 มาก่อน นอกจากนี้การที่ผู้ร้องที่ 2 ตามไปพบแต่จำเลยกลับอิดเอื้อนไม่ยอมเปิดประตูจนเจ้าของบ้านต้องมาเรียกด้วยตนเอง จำเลยจึงยอมเปิดประตูห้อง ย่อมชี้ให้เห็นว่า จำเลยพยายามปกปิดการกระทำความผิดของตน ซึ่งหากไม่มีเหตุเกิดขึ้นจริงผู้ร้องคงไม่กล้านำเรื่องอับอายเสื่อมเสียแก่ผู้ร้องที่ 1 มาเล่าให้ผู้อื่นฟัง และทำให้จำเลยซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงได้รับความเดือดร้อนเสียหายได้ ในข้อนี้จากผลการตรวจร่างกายผู้ร้องที่ 1 ของแพทย์ก็ได้ความว่าพบรอยฉีกเก่าบริเวณเยื่อพรหมจารี และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องที่ 1 เคยถูกชายคนอื่นล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนนอกจากจำเลย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ส่วนผู้ร้องที่ 2 จะทราบเหตุคดีนี้เมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่ใช่สาระสำคัญหาเป็นพิรุธไม่ ที่จำเลยอ้างว่า ผู้ร้องที่ 2 โกรธแค้นจำเลยที่ไม่ยอมช่วยเหลือนาย ด. ให้พ้นความผิดที่กระทำชำเราบุตรทั้งสองคนของจำเลยจึงแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องที่ 1 มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ร้องที่ 1 จะเบิกความปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้ร้องที่ 1 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า อวัยวะเพศของผู้ร้องที่ 1 มีขนาดเล็ก อวัยวะเพศของจำเลยทิ่มถูกบริเวณอวัยวะเพศของผู้ร้องที่ 1 ทำให้ผู้ร้องที่ 1 เข้าใจว่าสอดใส่เข้าไป จึงเป็นเพียงการพยายามกระทำชำเราเท่านั้น และพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 1 (2) ถึงข้อ 1 (28) ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และลงโทษจำเลยตามฟ้องข้อ 1 (29) ถึงข้อ 1 (37) ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยิมยอมหรือไม่ก็ตาม และฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อดังกล่าวว่า อวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ร้องที่ 1 เป็นการกระทำชำเราสำเร็จแล้ว ถือเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงใหม่ซึ่งแตกต่างจากศาลชั้นต้น เมื่อคดีนี้โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 ใช้บังคับ โดยมาตรา 5 และมาตรา 9 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 และมาตรา 279 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงให้ใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น