คดีนี้เดิม ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันมากับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1239/2557 ของศาลชั้นต้นโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในสำนวนคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และเรียกจำเลยในสำนวนคดีอาญาดังกล่าวว่า จำเลยที่ 6 คดีคงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 2 คดีนี้
สืบเนื่องจากศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แทนศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 6 ฟังเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ครั้นวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 จำเลยที่ 6 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 และวันที่ 10 มิถุนายน 2558 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาไปถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต จำเลยที่ 6 ยื่นฎีกาภายในกำหนด ส่วนโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นฎีกา จากนั้นวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 ระบุว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 โดยระบุว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 2 มิถุนายน 2558 ซึ่งเป็นวันพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลยที่ 2 เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วรายงานว่า โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 แต่โจทก์ไม่ฎีกาตามรายงานเจ้าหน้าที่ ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 ได้รายงานเพื่อดำเนินการออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ระบุคดีถึงที่สุดในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ศาลชั้นต้นจึงไม่แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 และแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 โดยระบุให้ คดีถึงที่สุดวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว คำว่า "ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง" หมายถึงระยะเวลาสิ้นสุดที่กำหนดโดยกฎหมาย คือ เมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และมาตรา 216 ในกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ฎีกา และคู่ความมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้ ในการออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดย่อมต้องกลับไปใช้ระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดโดยกฎหมาย เพื่อมิให้จำเลยผู้ต้องถูกบังคับโทษทางอาญาต้องเสียสิทธิที่จะพึงได้รับตามกฎหมายราชทัณฑ์ สำหรับคดีนี้เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ขยายระยะเวลาฎีกาถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ต่อมาโจทก์ไม่ใช้สิทธิฎีกาภายในเวลาที่ขยายไว้ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 2 ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 เป็นการนำระยะเวลาที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ขยายฎีการวมเข้าด้วย จึงไม่ชอบ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่าหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลยที่ 2 ที่ถูกต้องสมควรออกวันใด ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แทนศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6 ฟังเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 และศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาฎีกาถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 แต่โจทก์มิได้ฎีกา จากบทบัญญัติของกฎหมายที่ได้กล่าวมาแล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมสามารถใช้สิทธิฎีกาได้ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2558 แต่วันดังกล่าวเป็นวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ระยะเวลาฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงสิ้นสุดวันที่ 2 มิถุนายน 2558 อันเป็นวันเริ่มทำการใหม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 ศาลชั้นต้นย่อมต้องออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 นับแต่วันดังกล่าว ฎีกาข้อนี้จำเลยที่ 2 ฟังขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 โดยระบุให้คดีถึงที่สุดวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ระบุในการออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 2 การออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงไม่ถูกต้องเช่นกัน ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะได้ความว่าได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกา แต่เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา การออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด ให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมถึงที่สุดในวันที่ 2 มิถุนายน 2558 ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นเช่นเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ให้ถูกต้องด้วย แม้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 จะมิได้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษากลับว่า ให้แก้ไขหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 โดยระบุให้ถึงที่สุดนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2558