โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 91, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การรับสารภาพในข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต ข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 91, 83 จำคุกคนละ 18 ปี จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน ไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 19 ปี 6 เดือน คำรับของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปีจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 12 ปี ริบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนรถจักรยานยนต์ และย่ามของกลาง ส่วนกุญแจชนิดต่าง ๆ 5 ดอก ให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทเกียรติและร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์ เบิกความว่า พยานออกตรวจท้องที่โดยใช้รถยนต์จิ๊ปตราโล่ของกรมตำรวจ พยานเห็นจำเลยที่ 2 จอดรถจักรยานยนต์ไม่มีป้ายทะเบียนหลังอยู่ในที่มืด ร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์ จึงไปสอบถามและพบว่ารถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับขี่ไม่มีป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษี จึงจะนำจำเลยที่ 2 และรถจักรยานยนต์ไปสถานีตำรวจ ร้อยตำรวจโทเกียรติเบิกความต่อไปอีกว่าระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งวิ่งเลยไปและจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนวิ่งมานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์สตาร์ตอยู่แล้ว ทั้งร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์ และร้อยตำรวจโทเกียรติเบิกความว่าจำเลยที่ 1สั่งให้ออกรถ ร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์หันกลับไปดูเห็นจำเลยที่ 1ถืออาวุธปืนอยู่จึงจับกุม เมื่อพยานสอบถามจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย เห็นว่า พยานโจทก์ไม่รู้จักจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความยืนยัน แต่โจทก์ก็มีนายจอห์น กาเดร์ ซึ่งไม่รู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อนเบิกความยืนยันว่าในชั้นสอบสวนพยานเป็นล่ามแปลคำให้การของผู้เสียหาย และผู้เสียหายให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.2ประกอบกับร้อยตำรวจโทณรงค์ยศ พนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายได้ให้การต่อพยาน พยานได้ให้นายจอห์นเป็นล่ามแปลพยานได้จดคำให้การของผู้เสียหายไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 พยานได้จัดให้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยทั้งสองตามบันทึกการชี้ตัวเอกสารหมาย จ.4และพยานได้นำจำเลยทั้งสองกับผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพตามภาพถ่ายหมาย จ.3 ร้อยตำรวจโทณรงค์ยศไม่รู้จักจำเลยทั้งสอง และการนำจำเลยทั้งสองไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพได้กระทำต่อหน้าประชาชน น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การด้วยความสมัครใจ เมื่อพิเคราะห์คำให้การของจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย จ.9 จ.10 แล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งสองให้การสอดคล้องต้องกันกับคำให้การของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.2 และเหตุที่จำเลยทั้งสองถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับก็ตรงกับคำเบิกความของร้อยตำรวจโทเกียรติและร้อยตำรวจตรีไพฑูรย์ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อ พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองไม่อาจหักล้างได้ ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย อนึ่งที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยทั้งสองมาเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทความผิดของจำเลยที่ 1ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ โดยมิได้ระบุวรรคนั้น เห็นสมควรระบุวรรคเสียให้ชัดแจ้งด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์"