โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยใช้มือชกต่อย  ใช้เท้าเตะและกระทืบ  และใช้เข่ากระแทก  ทำร้ายร่างกายนายนัด  แสนกล้า  โดยมีเจตนาฆ่านายนัด  นายนัดถึงแก่ความตาย  โดยจำเลยโกรธแค้นนายนัดในเรื่องแย่งกันขายไม้  และจำเลยได้อาฆาตไว้  อันเป็นการฆ่าโดยไตรีตรองไว้ก่อนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๒๘๘,๒๘๙
จำเลยให้การปฏิเสธในตอนต้น  พอสืบพยานโจทก์ไปได้ ๕ ปาก  จำเลยให้การใหม่ว่าจำเลยได้กระทำตามพฤติการณ์ที่นายสุขพยาน โจทก์เบิกความต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า  จำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนา  ไม่ใช่เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘  จำคุก ๒๐ ปี  คำรับขั้นสอบสวนและชั้นศาลครั้งแรกเป็นประโยชน์ในการพิจารณา  ลดโทษให้ ๑ ใน ๔ คงจำคุก ๑๕ ปี
โจทก์อุทธรณ์ว่า  จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  ในวันเกิดเหตุ  นายสุขกับจำเลยไปขายถ่านที่ตลาดพบนายนัดผู้ตายและนายพรมว่า  กลับจากไปขายไม้เสาที่บ้านท่าศิลา  จำเลยว่าจำเลยติดต่อไว้  ทำไมผู้ตายนายพรมไปขายก่อน  หากินตัดหน้าตัดตา  กูจะฆ่า  จะเตะมึงเดี๋ยวนี้  แล้วผู้ตาย  นายพรม  นางใสภรรยานายพรมจำเลย  และนายสุข  พากันไปกินสุราที่ร้าน  กินสุราแล้วจำเลยก็ยังพูดว่า  จะฆ่าจะตีผู้ตายเดินออกจากร้านกลับ นายสุข นายพรม นายใสและจำเลย   ออกเดินไปหาซื้อของในตลาดแล้วพากันกลับบ้าน  ระหว่างทางจำเลยพูดขู่เข็ญนายพรมเรื่องไม้เสาอย่างเก่าอีก  จำเลยจับแขนนายพรมทำท่าจะชก  นางใสจับจำเลยออก  แล้วเดินต่อไป  จำเลยพูดขู่เข็ญแต่คำเก่าอีก  จนถึงเรือนนายอิน  พบผู้ตายกินสุราอยู่บนเรือนนายอิน  ผู้ตายได้เรียกนายสุข  นายพรม  นางใส และจำเลยร่วมวงสุรา  ผู้ตายเอามือปัดแล้วสุราหก  นายสุขยกแก้วขึ้นทำท่าจะตีผู้ตาย  แต่ทำเล่น ๆ จำเลยว่าเดี๋ยวเอกจริง ๆ เสียเลย  ภรรยานายอินเห็นจะเกิดเรื่องจึงไล่ออกจากบ้าน  จำเลยยังพูดขู่เข็ญ  แสดงความโกรธผู้ตาย  ถึงนานายที  ผู้ตายคุยกับนายที  จำเลยกับนายสุขไปทางนายนาต่วน  พบนายต่วน  นายคม  ปักดำนาอยู่  จำเลยเข้าไปกินสุรา  เสร็จแล้วนายสุขเรียกจำเลยลุกไป   จำเลยถามว่าผู้ตายออกจากนายทีมาหรือยัง  นายสุขว่าลุกออกไปแล้ว  นายสุขเดินไปทางเหนือ  จำเลยเดินตามหลัง ห่างกัน ๑ เส้น  นายสุขเห็นว่าจำเลยหยุดบนคันนานายแท่น  ได้เรียกจำเลยกลับบ้าน เกรงว่าจำเลยจะทำร้ายนายนัดผู้ตาย  จำเลยว่า  เดินก่อนเถอะเหนื่อยจะพักผ่อน  ขณะนั้นนายสุขเห็นผู้ตายกำลังเดินมาทางที่จำเลยอยู่  จำเลยพูดกับนายนัดผู้ตายว่า  หากินเก่งแท้  ให้เอาเงินมาชำระหนี้คืน ๑๑ บาท  ผู้ตายว่าซื้อเหล้ากินหมดแล้ว  จำเลยตรงเข้าไปกอดคอผู้ตาย  ชกต่อยผู้ตายจนผู้ตายล้มลงจำเลยจับผู้ตายลุกขึ้น  ดึงลากไปทางคันนา  วางลงแล้วกระทืบริเวณท้อง ๒ ครั้ง
ศาลฎีกาเห็นว่า  ถ้าจำเลยตั้งใจจะตี  จะฆ่าผู้ตายดังที่พูด  จำเลยก็น่าจะตระเตรียมหาอาวุธอันเป็นการส่อแสดงความตั้งใจออกมาบ้าง  แต่จำเลยไม่ได้ตระเตรียมอะไร  ขณะเกิดเหตุจำเลยคงมีแต่มือเปล่า  คนโต ๆ ด้วยกัน  จะฆ่ากันด้วยมือเปล่า  ย่อมจะกระทำได้ยาก  ดังนั้น  การที่จะคิดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วยมือเปล่า ๆ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน  น่าจะไกลมากไป  เหตุที่จำเลยหยุดตรงทางที่ผู้ตายจะผ่าน  ถือได้ว่าจำเลยหยุดเพื่อจะพอผู้ตาย  แต่จะพิเพื่อจะตีจะฆ่า  หรือเพื่อทวงเงิน  ยังเป็นปัญหา  เพราะจำเลยได้ทวงเงินผู้ตายด้วย  มูลเหตุที่จำเลยจะทวงเงิน  คงเนื่องด้วยผู้ตายขายไม้เสาได้เงินมา  เมื่อผู้ตายไม่ให้โดยบอกว่าซื้อเหล้ากินหมด  จำเลยอาจไม่เชื่อและอาจคิดว่าผู้ตายหลอกหรือพูดปด  แล้วมีโทสะแรงกล้าขึ้นมาในขณะนั้น  ถึงขั้นเข้าทำร้ายเอกจนผู้ตายถึงแก่ความตายก็ได้รูปคดีตอนนี้ยังไม่ชี้ชัดลงไปทีเดียวว่า   จำเลยพบผู้ตายเพื่อจะตีจะฆ่าด้วยเหตุดังได้วินิจฉัยมา  ยังไม่พอฟังว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
พิพากษายืน.