โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(2)(4)(6), 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง รถยนต์คันเกิดเหตุจำนวน 2 คัน คือ รถยนต์ตู้คันหมายเลขทะเบียน ย-3866 ชลบุรี กับรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียนน-5044 หนองคาย เฉี่ยวชนในทิศทางที่แล่นสวนทางกัน มีผู้ที่มากับรถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวถึงแก่ความตายและบาดเจ็บตามฟ้อง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทเพ็ญ กรุดพันธ์ และร้อยตำรวจเอกวิจิตร ชุมแวงวาปีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบกันว่า ภายหลังเกิดเหตุพยานทั้งสองติดตามไปสอบปากคำจำเลยซึ่งได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลบึงกาฬ จำเลยรับต่อพยานทั้งสองว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุปัญหานี้จำเลยต่อสู้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเมาสุราหลับอยู่ในรถยนต์กระบะคันดังกล่าวซึ่งมีนายวาทิตย์เป็นผู้ขับ เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองปากต่างเป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งสอบปากคำจำเลยในช่วงกระชั้นชิดต่อเนื่องกับเหตุการณ์จนจำเลยไม่มีเวลาเสริมแต่งข้อเท็จจริงได้ทันท่วงที จึงมีเหตุอันควรเชื่อดังที่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความโดยไม่ระแวงสงสัยว่าเป็นการปรักปรำจำเลย ที่จำเลยต่อสู้โดยอ้างว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ น่าจะเป็นเพราะต้องการให้ตนเองพ้นผิด ซึ่งฟังหักล้างคำพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ได้ ส่วนที่ร้อยตำรวจเอกวิจิตรแจ้งแก่จำเลยที่โรงพยาบาลบึงกาฬว่านายวาทิตย์ยังไม่ตายซึ่งผิดไปจากความจริงนั้นไม่ถือเป็นการล่อลวงเพื่อจูงใจให้จำเลยรับว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 อันจะมีผลให้ไม่อาจฟังตามคำรับของจำเลยได้ดังจำเลยฎีกา หากแต่เป็นการดำเนินการที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเพื่อทราบข้อเท็จจริงตามอำนาจของกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฟังว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จำเลยรับว่าขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการเมาสุราประกอบกับทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารของโจทก์สอดคล้องต้องกันมีเหตุผลและน้ำหนักรับฟังได้ กรณีเชื่อได้ว่าจำเลยขับรถในขณะมึนเมาล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในทางเดินรถสวนโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ อันเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน การที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่ามิได้กระทำโดยประมาทโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนย่อมไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า เหตุเกิดเพราะจำเลยประมาทนั้นจึงชอบแล้ว"
พิพากษายืน