โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 61,301.61บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 40,906.78บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 61,301.61 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 40,906.78 บาท โดยเริ่มนับแต่วันถัดจากวันฟ้องวันที่ 15 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่โดยจำเลยอ้างว่า การชำระหนี้ให้แก่โจทก์ภายหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้ว เป็นเพียงการที่จำเลยไม่ใช้สิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ มีผลให้จำเลยไม่อาจเรียกคืนได้เท่านั้น หาใช่เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่สิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว และเนื่องจากโจทก์ยื่นคำแก้ฎีกาว่า โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องหนี้รายนี้ได้เมื่อโจทก์แจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของจำเลย และหลังจากนั้นจำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์แจ้งยกเลิก จึงเป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความจึงเห็นควรวินิจฉัยปัญหาทั้งของโจทก์และจำเลยไปพร้อมกัน และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตชื่อ บัตรกรุงศรี - วีซ่าของโจทก์ โดยจำเลยสามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดจากร้านค้าหรือสถานบริการ หรือถอนเงินสดผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติของโจทก์หรือธนาคารอื่นที่โจทก์อนุญาตทั้งนี้โจทก์จะออกเงินทดรองแทนไปก่อน และจำเลยตกลงจะชำระหนี้คืนแก่โจทก์ตามยอดหนี้และกำหนดเวลาที่โจทก์ออกใบแจ้งยอดบัญชีให้จำเลยทราบ หากไม่ชำระยอมเสียเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี หลังจากนั้นจำเลยได้นำบัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้าบริการรวมทั้งเบิกเงินสดหลายครั้งและโจทก์ได้ออกใบแจ้งยอดบัญชีให้จำเลยทราบ แต่จำเลยไม่ชำระ โดยจำเลยนำบัตรเครดิตไปใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2538 และโจทก์ได้กำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 5 เมษายน 2538ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกการใช้บัตรเครดิตกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2538 ต่อมาจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วนรวม 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 และวันที่ 12กันยายน 2540 หักชำระหนี้แล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ถึงวันฟ้องจำนวน61,301.61 บาท เห็นว่า ตามเงื่อนไขของผู้ถือบัตรเครดิตตามใบสมัครการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตกรุงศรี - วีซ่า ของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3ข้อ 5 ที่ว่า การใช้บัตรเบิกเงินสดจากธนาคารหรือชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการต่าง ๆ แทนการชำระเงินสดหรือจะโดยวิธีใดก็ตาม ผู้ถือบัตรจะต้องชำระคืนให้ธนาคารพร้อมกับค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) หากชำระไม่หมดยอดคงค้างจะปรากฏในใบแจ้งยอดบัญชีในงวดต่อไป ผู้ถือบัตรจะต้องชำระคืนให้ธนาคารในจำนวนที่ธนาคารได้กำหนดหรือตามเงื่อนไขที่ธนาคารได้กำหนดขึ้นโดยธนาคารจะคิดเบี้ยปรับผิดสัญญาร้อยละ 1 ต่อเดือน บวกดอกเบี้ยคิดตามอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของดอกเบี้ยเงินกู้กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นและข้อ 9 ที่ว่าการชำระหนี้ให้กับธนาคารผู้ถือบัตรจะต้องกระทำภายในเวลาที่ธนาคารกำหนดและต้องชำระเป็นเงินบาท หากผู้ถือบัตรไม่สามารถติดต่อกับธนาคารได้จะต้องมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำการแทน โดยแจ้งชื่อและสถานที่ติดต่อกับบุคคลนั้นให้ธนาคารทราบนั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับใบแจ้งยอดบัญชีพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.4 ที่มีเนื้อความระบุว่ารวมยอดหนี้ที่ต้องชำระ และโปรดสั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมในนามของธนาคารโจทก์ภายในวันตามที่โจทก์กำหนดแล้ว กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับกำหนดเวลาชำระหนี้อันเกิดขึ้นจากการที่จำเลยนำบัตรเครดิตไปใช้ไว้โดยแน่นอนทุกเดือน การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด คงมีผลเพียงว่าจำเลยต้องเสียเบี้ยปรับและดอกเบี้ยสำหรับจำนวนเงินที่ค้างชำระให้โจทก์เท่านั้นหาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์มีเงื่อนไขระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ให้แก่จำเลยไว้ล่วงหน้าไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยนำบัตรเครดิตไปใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2538 และโจทก์ได้กำหนดเวลาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 5 เมษายน 2538 ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระโจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวภายในอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ 6 เมษายน 2538 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 6 เมษายน 2540 ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้มิใช่ว่าโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2538 อันเป็นวันที่โจทก์ยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของจำเลย อย่างไรก็ดีเมื่อโจทก์แจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตและบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างแล้ว จำเลยได้ยินยอมชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2540 ซึ่งถือมิได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำแก้ฎีกา แต่แสดงว่าจำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นมาปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์ตามที่เรียกร้อง ดังนั้น แม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์จะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ถึง 2 ครั้งดังกล่าวย่อมถือเป็นการแสดงออกโดยปริยายว่าได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นแล้วมิใช่เป็นเพียงแต่จำเลยไม่ใช้สิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความมาเป็นข้อตัดฟ้องเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 และการนับอายุความจึงเริ่มนับต่อไปใหม่เสมือนไม่เคยนับอายุความมาก่อนโดยถืออายุความแห่งมูลหนี้เดิมกล่าวคือนับอายุความเริ่มต่อไปใหม่ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2540โจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา2 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว"
พิพากษายืน