คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,226,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 4 มีนาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 1,196,605 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยรวม 5 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11288, 51064, 62648, 94728 และ 94729 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องว่า สัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องมีการจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11288 เป็นประกันเพียงแปลงเดียวเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้โดยไม่มีคำขอให้บังคับจำนองโจทก์ก็มีสิทธิยึดได้เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 11288 ซึ่งได้จดทะเบียนจำนองไว้เท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินอีก 4 แปลง ที่ไม่ได้จดทะเบียนจำนองเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินจำนวน 4 แปลง ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนวน 4 แปลง ที่ไม่ได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ตามฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่า การจำนองเป็นสัญญาเอาทรัพย์สินตราไว้เป็นการประกันหนี้ โดยมีหนี้ที่จะพึงต้องชำระแก่กันอันเป็นหนี้ประธานและจำนองอันเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าอาจแยกหนี้ซึ่งจะต้องชำระแก่กันและการจำนองออกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้ เจ้าหนี้จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ คือ บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 หรือจะบังคับจำนอง คือ ใช้บุริมสิทธิ์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองตามมาตรา 728 อย่างใดอย่างหนึ่งก็ย่อมทำได้ ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่า ในกรณีซึ่งเป็นหนี้จำนองแล้ว ผู้เป็นเจ้าหนี้จะฟ้องร้องบังคับลูกหนี้อย่างหนี้สามัญตามมาตรา 214 ไม่ได้ เป็นแต่เพียงกฎหมายบังคับว่า ในกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบังคับจำนองสิทธิของโจทก์ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 733 เท่านั้น ประกอบกับมาตรา 733 ดังกล่าวก็มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงหาเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายเรื่องจำนองหรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังที่จำเลยอ้างไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นคดีนี้ได้ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยรวมทั้งทรัพย์ที่จำนองได้ หาใช่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้แต่เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 11288 ที่จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ตามฟ้องเท่านั้นไม่ โจทก์มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินอีก 4 แปลง ที่ไม่ได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ตามฟ้องได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยอีกต่อไปเพราะไม่อาจทำให้ผลแห่งคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.