โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ริบของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง,13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 10 ปีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 6 ปี 8 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา ต่อมาจำเลยที่ 2ขอถอนฎีกาศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดบานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ทราบแล้วว่านางจันทร์เช้าเป็นสายลับของเจ้าพนักงานตำรวจและจำเลยที่ 1เข้าไปเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลางเพราะสายลับของเจ้าพนักงานตำรวจให้ไปติดต่อซื้อการที่จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลางในพฤติการณ์ดังกล่าวจึงมิใช่จำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว
ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น ข้อเท็จจริงรับได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 3 ร่วมมีและขายเมทแอมเฟตามีนของกลางตามฟ้องที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าคำเบิกความของนายดำรงค์เดชตลอดจนบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1และที่ 2 เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 3 มีและขายเมทแอมเฟตามีนเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันจะนำมาเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยที่ 3 ไม่ได้นั้นเห็นว่าคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน หาใช่จะต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยเสียทีเดียวก็หาไม่เมื่อไม่ปรากฏว่านายดำรงค์เดชจำเลยที่ 1 และที่ 2ให้การซัดทอดจำเลยที่ 3 เพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการซัดทอดนั้นแต่อย่างใด ศาลจึงชอบที่จะฟังคำซัดทอดดังกล่าวมาประกอบพยานแวดล้อมและพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องนั้นชอบแล้ว แต่เห็นว่า พฤติการณ์กระทำผิดมิได้ทำเป็นกระบวนการ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนไม่มากนัก พฤติการณ์กระทำผิดจึงไม่เป็นการร้ายแรงจนเกินไป ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3มาสูงเกินไป ยังไม่เหมาะสม เห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 3ให้น้อยลงอีก แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา แต่เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจที่จะพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213ประกอบด้วยมาตรา 225 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 89
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 6 ปีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2