ข้อเท็ดจิงได้ความว่า เรือกลไฟชื่อสุดสาครของจำเลยไช้จูงเรือโป๊ะปันทุกข้าวสาร ๓ ลำจากท่ากรุงเทพฯ ไปยังเกาะสีชัง เมื่อเรือสุดสาครได้ไช้จักรเดินมาถึงที่เกิดเหตุเวลาประมาน ๒๑.๐๐ น. ได้ชนและเบียดปลายรั้วกางกั้นจับสัตว์น้ำของโจทซึ่งตั้งหยู่ทางฝากด้านตวันตกของล่องน้ำนอกชายฝั่งอ่าวไทยชำรุดเสียหายยาวประมาร + เส้น
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้วเห็นว่า เรือจำเลยเปนฝ่ายลเมิดต้องรับผิดตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชย์มาตรา ๔๒๐ พิพากสาไห้จำเลยไช้ค่าเสียหายไห้โจท ๕๐๐ บาท
โจทและจำเลยต่างอุธรน์
สาลอุธรน์พิพากสากลับไห้ยกฟ้องโจท
โจทดีกา สาลดีกาเห็นพ้องด้วยสาลอุธรน์ว่า แม้จะฟังข้อเท็ดจิงตามคำพยานโจทว่าเมื่อชนะเกิดเหตุปีกโป๊ะของโจททางด้านตวันออกที่ถูกเรือจำเลยโดนได้จุดไฟไว้ ๑ ดวงห่างปลายปีกเข้ามา+เล้น จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดไนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะการทำรั้วจับสัตว์น้ำตามพระราชบัญญัติเดินเรือไนน่านน้ำไทย ๒๔๕๖ มาตรา ๙๓ วัด ๒ บังคับไห้ต้องจุดโคมไฟไว้ที่ปลายสุดทั้งสองข้าง เพื่อไห้เรือที่ผ่านไปมาซาบได้ว่าไนระหว่างกลางของโคมสองข้างนั้นเปนรั้วจับสัตว์น้ำเรือจะได้หลีกไปไห้พ้น เมื่อโจทมิได้ปติบัติกดหมาย จุดโคมไฟไว้แต่ดวงเดียวตอนไนห่างปลายปีกเข้ามาถึง ๖ เส้นเช่นนี้ จำเลยจะซาบได้หย่างไร ว่าเปนรั้วจับสัตว์น้ำ จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์