โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑  เป็นนิติบุคคล  ประเภทสมาคมการค้า  มีธนาคารพาณิชย์เป็นสมาชิก  จำเลยที่ ๒  เป็นเลขาธิการ  ได้ประชุมสมาชิกแล้วจำเลยที่ ๒  บันทึกรายงานการประชุมเกี่ยวกับเรื่องแก๊งค์ต้มมนุษย์ว่า  มีบุคคลคณะหนึ่งตั้งเป็นแก๊งค์มีพฤติการณ์หลอกลวง  โดยบุคคลเหล่านี้จะมาติดต่อกับธนาคารในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต  โดยวางเงินมัดจำให้ธนาคารไว้ระหว่างร้อยละ ๑๐ ถึง ๑๕  ของจำนวนเงิน  โดยตีราคาสินค้าสูงกว่าความจริงประมาณ ๒ - ๔ เท่าตัว  เมื่อธนาคารเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและได้รับเอกสารมาแล้ว  ก็ไม่มีการติดต่อขอรับเอกสารไปรับของ  เพราะของที่สั่งมาไม่เป็นไปตามเลตเตอร์ออฟเครดิต  หากธนาคารจะนำเอกสารไปออกของก็ไม่คุ้มกัน  ได้มีการแจ้งระบุชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดให้ที่ประชุมทราบ  ที่ประชุมมีมติให้ออกหนังสือเวียนให้สมาชิกทราบ  โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาก็มีชื่อในหนังสือเวียนนั้น  จำเลยทั้งสองได้จัดส่งหนังสือไปยังธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสมาชิกว่าโจทก์เป็นบุคีคลในแก๊งค์ต้มมนุษย์  มีความหมายได้ชัดเจนว่าโจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหลายแห่งเป็นคนหลอกลวงคนทั่วไป  ไม่ควรคบและสมาคมติดต่อด้วย  เป็นการเหยียดหยามโจทก์  ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๒๖, ๓๒๘  กับให้ทำลายต้นฉบับรายงานการประชุมของสมาคมธนาคารไทย  ครั้งที่ ๒๐  ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๑๒  เกี่ยวกับแก๊งค์ต้มมนุษย์  ให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่า ๔ ฉบับ  ติดต่อกันมีหนังสือ ๕ วัน  โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่า  คดีมีมูล  ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า  หนังสือที่แจ้งไปออกตามมติที่ประชุม  เอกสารท้ายฟ้องได้แสดงโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม  ป้องกันตนเกี่ยวกับส่วนได้เสียตามทำนองคลองธรรม  เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม  จำเลยขอพิสูจน์ความจริงต่อศาลว่าข้อความที่กล่าวนั้นเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑  ขาดอายุความ  และการที่จำเลยมีหนังสือเวียนไปนั้น  มิได้มีเจตนาแพร่หลาย  ได้กระทำไปโดยสุจริต  เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความเพื่อป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียตามคลองธรรม  มิได้มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์  ไม่มีความผิด  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า  การที่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือเวียนถึงธนาคารสมาชิกตามมติที่ประชุม  ไม่เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม  ไม่เป็นการป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสมาคมธนาคารไทย  จำเลยที่ ๑  มีนายบรรเจิด  ชลวิจารณ์  เป็นประธานกรรมการและในการประชุมมีนายจำรัส  จตุรภัทร  เป็นประธานที่ประชุมสมาชิกสมาคม  จำเลยที่ ๒ เป็นเลขาธิการ  ที่ประชุมมีมติให้จำเลยที่ ๒  แจ้งเรื่องให้สมาชิกธนาคารทราบว่ามีกลุ่มบุคคลหนึ่งที่เป็นหุ้นส่วนหรือหุ้นส่วนผู้จัดการ  ไปขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคาร  เพื่อสั่งของเข้ามาโดยวางเงินมัดจำไว้เล็กน้อย  แต่ตีราคาของที่สั่งเข้ามาสูง  เมื่อของที่สั่งเข้ามาไม่เป็นไปตามเลตเตอร์ออฟเครดิต  บุคคลนั้นก็ไม่มาติดต่อขอรับเอกสารไปรับของ  ธนาคารจะนำเอกสารไปออกของมาขายก็ไม่คุ้มกัน  ทำให้ธนาคารเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก  ที่ประชุมมีมติให้จำเลยที่ ๒  ในฐานะเลขาธิการแจ้งชื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ให้สมาชิกทราบ  โจทก์เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนหนึ่งที่มีพฤติการณ์เช่นนี้  และถูกระบุชื่อในหนังสือเวียนที่ลับเฉพาะไปถึงธนาคารสมาชิกตามเอกสารท้ายฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  การที่จำเลยที่ ๒  ได้แจ้งข่าวการประชุมของสมาชิกในฐานะเลขาธิการตามมติของที่ประชุม  ตามเรื่องราวที่ได้ประชุมกันถึงพฤติการณ์ที่ทำให้สมาชิกได้รับความเสียหาย  และได้แจ้งเป็นหนังสือเวียนลับเฉพาะไปถึงแด่สมาชิกของธนาคาร  มิให้ธนาคารสมาชิกได้รับความเสียหายดังที่มีมาอีก  เช่นนี้ถือได้ว่า  เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม  ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม  ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
พิพากษายืน