โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามลำดับ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินไว้กับโจทก์หากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๕ ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์โดยยอมรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ นำเช็คมาขายลดรวม ๓ ฉบับ เช็ค ๒ ฉบับแรกจำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ส่วนฉบับที่ ๓ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย โจทก์รับซื้อและให้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสลักหลัง แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงขอให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ จะขายลดตั๋วเงินแก่โจทก์หรือไม่ ไม่รับรอง จำเลยไม่เคยทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ ๑ต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ระหว่างทำสัญญาขายลดเช็คและนำเช็คมาขายลดแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ และไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ สัญญาขายลดเช็คและการที่จำเลยที่ ๒ นำเช็คไปขายจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ลงนามในสัญญาขายลดเช็คและเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๔ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ รับผิดตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ ๕ ยื่นคำแถลงว่าศาลแพ่งได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๕ เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๒๑กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ขอให้จำเหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๕ โจทก์ไม่ค้าน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๕ แล้ว เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๕ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดีหรือมีคำขอให้จำหน่ายคดี จึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสำหรับจำเลยที่ ๕ ต่อไป
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๕ ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันจริง แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เชิดหรือยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตนเองเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลจะวินิจฉัยให้จำเลยที่ ๑รับผิดในการกระทำของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดได้หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ ๒ กระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนเชิด ศาลก็ย่อมวินิจฉัยให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในการกระทำของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนเชิดได้ เพราะความรับผิดของตัวแทนกับตัวแทนเชิดมีลักษณะอย่างเดียวกันไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
ส่วนปัญหาว่า การที่จำเลยที่ ๕ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาค้ำประกันการขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๕ที่จำเลยที่ ๒ อ้างว่า ทำแทนจำเลยที่ ๑ นั้น ถือได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๕ หุ้นส่วนผู้จัดการได้เชิดจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนหรือยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตนเองเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๕ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๕ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ ๑ และประทับตราห้างจำเลยที่ ๑ ในเอกสารดังกล่าวด้วยทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ ๕ ทราบดีว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๕ หุ้นส่วนผู้จัดการได้เชิดจำเลยที่ ๒หรือยอมให้จำเลยที่ ๒ เชิดตนเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.๕ ต่อโจทก์ผู้สุจริตและมิได้ล่วงรู้ถึงความจริงเสมือนว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้ค้ำประกันสัญญาขายลดเช็คดังกล่าวและผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๗ และ จ.๘ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ด้วย สำหรับจำเลยที่ ๕ ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยดังกล่าวในฐานะผู้ค้ำประกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ รับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.