โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยใช้อาวุธปืนชนิดและขนาดไม่ปรากฏชัดยิงนายทรหรือแอ จำนวน 1 นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายทรหรือแอที่บริเวณด้านหลังเป็นเหตุให้นายทรหรือแอได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยเป็นพี่ชายของผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายเคยทะเลาะกันเรื่องทดน้ำเข้านาข้าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายบุญธรรม นายธรนินทร์และจ่าสิบตำรวจสมควร เบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากผู้ตายถูกยิงแล้ว ผู้ตายได้บอกพยานทั้งสามว่าคนร้ายคือจำเลย ขณะนั้นผู้ตายมีอาการบาดเจ็บสาหัส และรู้ตัวว่าใกล้จะถึงแก่ความตาย เห็นว่า คำกล่าวขณะผู้ตายที่บอกให้ทราบว่าจำเลยเป็นคนทำให้ตนตายในขณะที่รู้สึกตัวว่าใกล้จะตาย จึงเป็นเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังพยานบอกเล่าเป็นพยานหลักฐานได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) แต่คำบอกเล่าของผู้ตายดังกล่าวรับฟังได้แต่เพียงว่า ผู้ตายได้ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายเช่นนั้นจริง แต่มิได้หมายความว่าจะต้องรับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เพราะผู้ตายอาจเห็นหรือจำผิดพลาดหรือมีอุปทานก็เป็นได้ ความผิดพลาดอาจมีขึ้นได้ การระบุชื่อคนร้ายของผู้ตายเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่ใช้ประกอบพยานหลักฐานอื่นให้มีน้ำหนักมั่นคงยิ่งขึ้น พยานโจทก์ในที่เกิดเหตุไม่มีใครเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้าย หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนเก็บตัวอย่างเขม่าดินปืนที่นิ้วมือจำเลยส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบธาตุสำคัญที่เกิดจากการยิงปืนที่มือของจำเลย และเจ้าพนักงานตำรวจก็ตรวจค้นไม่พบอาวุธปืนได้จากจำเลย ทั้งก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทอย่างร้ายแรงถึงขนาดเป็นเหตุให้ต้องฆ่ากันตาย ลำพังคำบอกเล่าของผู้ตายเพียงปากเดียวว่าจำเลยเป็นคนยิง แม้จะฟังว่าพูดในขณะรู้สึกตัวว่าจะตายก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย"
พิพากษายืน