คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งตั้งนายสมาน ไทยพิทักษ์เป็นผู้จัดการมรดกของนางหะลีเยาะผู้มรณะซึ่งเป็นมารดาผู้ร้องทั้งสอง และขอให้แสดงว่า ที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องภายในเส้นสีแดงเป็นของผู้ร้อง
มีผู้คัดค้านในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ร้อง 2 ราย ๆ แรกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำคัดค้านฟังไม่ได้ จึงยกคำร้องคัดค้านคดีถึงที่สุดแล้ว
เฉพาะผู้คัดค้านรายที่ 2 คัดค้านว่า ที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องนั้น มีที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายตังกุนสามีผู้ค้านซึ่งตายไปแล้ว และผู้ค้าเป็นผู้จัดการมรดกอยู่ 2 แปลงปรากฏตามบัญชีท้ายคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นทำการพิจารณา ผู้คัดค้านรายที่ 2 แถลงต่อศาลว่าถ้าผู้ร้องยอมให้ที่ดินกับผู้คัดค้านตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องคัดค้านแล้ว ผู้ค้านที่ 2 ก็ไม่ติดใจค้านอะไรยิ่งกว่านั้น ศาลสอบถามผู้ร้อง ๆ แถลงว่า ถ้าผู้คัดค้านจะต้องการที่ดินเท่าที่ปรากฏตามสัญญาซื้อขายซึ่งคัดเสนอมาตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องคัดค้าน แล้วผู้ร้องก็ยอม
ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาว่า ให้ที่ทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ค้านที่ 2 เหลือที่ดินนอกสัญญาซื้อขาย ให้เป็นกรรมสิทธิ์กับผู้ร้องต่อไป
ผู้ค้านที่ 2 อุทธรณ์ว่า ตามที่ผู้ร้องคัดค้านได้คัดรายการเนื้อที่ในหนังสือสัญญาเท่านั้น ไม่ได้ดูเนื้อที่ที่มีอยู่ตามแผนที่ ซึ่งมีเนื้อที่ถูกต้อง จึงเป็นการผิดไป เป็นการแสดงเจตนาด้วยสำคัญผิด ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของผู้ค้านที่ 2
ศาลอุทธรณ์สั่งยกอุทธรณ์ของผู้ค้านที่ 2
ผู้ค้านที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ในคำร้องคัดค้านและในคำแถลงต่อศาล ผู้ค้านที่ 2 ได้ตั้งประเด็นพิพากษามาเฉพาะเนื้อที่ส่วนหนึ่งตามบัญชีท้ายคำร้องคำคัดค้านเท่านั้น เมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งแถลงยอมตามนั้นแล้ว กรณีของผู้ค้านที่ 2 ก็ไม่มีอะไรจะต้องวินิจฉัยอีกการที่จะอ้างข้อความผิดพลาดของตนในคำร้องคัดค้านและคำแถลงต่อศาลมาเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกานั้น ไม่เป็นข้อที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ จึงให้ยกฎีกาของผู้ค้านที่ 2 เสีย